×

ดาร์วิน นูนเญซ ระเบิดไดนาไมต์ที่ลิเวอร์พูลต้องใช้ให้เป็น

28.08.2023
  • LOADING...
ดาร์วิน นูนเญซ

“เขามีระเบิดไดนาไมต์ที่ปลายเท้า” เสียงของผู้บรรยายภาษาอังกฤษกล่าวด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้เห็น ดาร์วิน นูนเญซ ตะบันด้วยอีขวาเต็มเหนี่ยวเสียบเสาไกลเป็นครั้งที่ 2 ของเกม

 

ประตูทั้งสองของกองหน้าชาวอุรุกวัยที่ได้โอกาสลงสนามในช่วง 13 นาทีสุดท้ายของเกม ช่วยให้ลิเวอร์พูลพลิกนรกกลับมาแซงชนะนิวคาสเซิลได้ 2-1 ในเกมที่จะเข้าทำเนียบเกมคลาสสิกระดับน้องๆ เกม ‘4-3’ เมื่อปี 1996 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกมพรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดตลอดกาล

           

และมันเป็น 2 ประตูที่ทำให้เกิดคำถามว่า ถึงเวลาที่ลิเวอร์พูลควรจะยกคันโยกเพื่อปลดปล่อยกองหน้าที่เปรียบเหมือนระเบิดที่ทรงพลังมหาศาลรายนี้ให้สำแดงฤทธิ์เดชที่มีเต็มตัวหรือยัง?

 

ดาร์วิน นูนเญซ

 

เริ่มต้นเหมือนฝันร้าย

ย้อนกลับไปในเกมที่เซนต์เจมส์พาร์ก เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 สิงหาคม) สถานการณ์ของลิเวอร์พูลต้องบอกว่าหนักหนาสาหัสอย่างมาก

           

แววหายนะมันเริ่มตั้งแต่จังหวะที่เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดนใบเหลืองง่ายๆ จากจังหวะปาบอลทิ้งหลังโดนผลักออกข้างสนาม ซึ่งตามกฎในฤดูกาลนี้มีความเข้มงวดกับการที่ผู้เล่นทำให้เสียเวลาหรือถ่วงเวลาอย่างมาก

           

ใบเหลืองนี้ทำให้แบ็กขวาไฮบริดของลิเวอร์พูลตกอยู่ใต้ความกดดัน เพราะเขาต้องวัดกับคู่แข่งที่ไวเหมือนปรอทอย่าง แอนโธนี กอร์ดอน ตลอดทั้งเกม และปรากฏว่าหลังจากใบเหลืองไม่ทันไรอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็เกือบโดนใบเหลืองที่ 2 ต่อทันทีเมื่อใช้แขนกันอดีตสตาร์เอฟเวอร์ตัน

           

ต่อด้วยความผิดพลาดมหันต์เมื่อเขาจับบอลคืนหลังจากโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ พลาด โดนกอร์ดอนฉกเอาไปยิงให้นิวคาสเซิลนำ 1-0 ซึ่งเป็นเกมที่ 2 แล้วที่เขาจับบอลพลาดและทำให้ทีมเสียประตู

           

ความวายป่วงของลิเวอร์พูลยังไม่จบเมื่อเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังกัปตันทีมไปโดนใบแดงอีกในจังหวะที่เข้าดักอเล็กซานเดอร์ อิซัค ซึ่งได้บอลจ่ายทะลุช่องกำลังฉีกตัวจะเข้าเขตโทษ (ซึ่งคนที่จ่ายให้คือกอร์ดอน ที่ลากหนีอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่ไม่กล้าทำอะไรอีกก่อนไหลให้สบายๆ)

           

นั่นหมายถึงทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เป็นรองทั้งสกอร์และจำนวนผู้เล่น ไม่นับทรงบอลที่เป็นรองเจ้าบ้านแบบแทบสู้ไม่ไหวเลยทีเดียว

           

โดยเฉพาะพื้นที่แดนกลางที่บรูโน กิมาไรส์, โชลินตัน และคนที่มาแรงที่สุดอย่างซานโดร โตนาลี ช่วยกันเล่นได้อย่างดุดัน

           

ดูแล้วลิเวอร์พูลแทบไม่มีความหวังที่จะได้อะไรกลับไปจากเกมนี้เลย

 

ดาร์วิน นูนเญซ

 

2 โป้งจอด

หนึ่งในจังหวะที่มีความสำคัญมากๆ กับเกมคือลูกที่อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิลของลิเวอร์พูลโชว์ซูเปอร์เซฟมหัศจรรย์ปัดลูกวอลเลย์ของมิเกล อัลมิรอน ที่ตะบันเต็มเท้าอย่างสวยงาม

           

ลูกนี้ใครเห็นก็เชื่อว่าเข้าแน่ๆ ซึ่งถ้าลูกนี้เข้าประตูไปนิวคาสเซิลก็น่าจะชนะคู่ปรับจากเมอร์ซีย์ไซด์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีได้ไม่ยาก เพราะทุกอย่างเหนือกว่าหมด แต่อลิสสันช่วยให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกม

           

หลังจากนั้นต้องยกเครดิตให้กับผู้เล่นในชุดสีแดงที่พยายามช่วยกันอย่างสุดความสามารถ แม้ว่าสถานการณ์จะลำบากมากแค่ไหนก็ตาม ซึ่งต้องรวมถึงคล็อปป์ที่พยายามค่อยๆ ปรับเกมไปเรื่อยๆ ด้วยการค่อยๆ ส่งตัวสำรองลงไปเปลี่ยนแปลงเกมทีละนิด

           

จนถึงช่วงที่เวลาในเกมปกติ 13 นาที คล็อปป์ตัดสินใจส่งไพ่ 2 ใบสุดท้ายคือจาเรลล์ ควานซาห์ ปราการหลังดาวรุ่งวัย 20 ปีที่ลงมาแทนโจเอล มาทิปตัวเก๋าที่เริ่มขาอ่อน และดาร์วิน นูนเญซ ที่ลงมาแทนอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ มิดฟิลด์เชิงสูงที่ไม่สามารถช่วยทีมได้มากนักในเกมนี้

           

ปรากฏว่าการลงมาของนูนเญซ กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมที่สำคัญที่สุด เมื่อลิเวอร์พูลที่เริ่มกลับมาน่ากลัวอีกครั้งในเกมสวนกลับเพราะองค์ประชุมครบ ดีโอโก โชตา ถูกเปลี่ยนตัวลงมายืนทางฝั่งซ้าย และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ถ่างออกไปทางฝั่งขวาตามถนัด

           

และการเล่นประสานของกองหน้าทั้ง 3 นี่เองที่นำไปสู่ประตูตีเสมอในนาทีที่ 81 หรือแค่ 4 นาทีหลังการลงสนามของนูนเญซ เมื่ออเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แทงบอลยาวขึ้นมาให้ซาลาห์แถวกลางสนามก่อนสะกิดต่อให้โชตาที่เข้ามารับบอลแล้วแทงบอลทะลุตามช่องให้ ซึ่งมีโชคช่วยเพราะกองหลังที่แทบไม่พลาดเลยอย่างสเวน บอตแมน ดักบอลแล้วลูกขลุกขลิกกลายเป็นไปเข้าทางนูนเญซที่โฉบมาเอาบอลไปก่อนตะบันด้วยขวาเสียบเสาไกลอย่างสุดสวย

           

ประตูนี้จุดประกายความหวังให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งหลังจากที่เหี่ยวมาทั้งเกม สวนทางกับนิวคาสเซิลที่ผ่อนคันเร่งและถอดตัวสำคัญอย่าง โตนาลี, กอร์ดอน รวมถึงอิซัค ออกไปพักหมดแล้ว พวกเขาต้องพยายามเร่งเครื่องเพื่อที่จะทำประตูให้ได้อีกครั้ง

           

ก่อนที่เซนต์เจมส์พาร์กแทบจะระเบิดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 3 เมื่อบรูโน กิมาไรส์ เปิดบอลไปติดตัวของฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กลายเป็นเข้าทางซาลาห์ที่ดึงจังหวะเล็กน้อยเพื่อรอให้นูนเญซสปีดฉีกหนีแดน เบิร์นไปก่อนแล้วจึงไหลให้กองหน้าอุรุกวัยหลุดเดี่ยว ก่อนจะซัดเข้ามุมเดิมอย่างเฉียบขาด

           

โอกาส 2 หน เป็น 2 ประตู และเป็นชัยชนะที่ล้ำค่าของลิเวอร์พูลรวมถึงนูนเญซเอง

 

ดาร์วิน นูนเญซ

 

ชีวิตกระท่อนกระแท่น

นับตั้งแต่ย้ายมาจากเบนฟิกาด้วยค่าตัว 85 ล้านปอนด์เมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่แล้ว ดาร์วิน นูนเญซ สามารถสร้างความประทับใจให้กับแฟนฟุตบอลเดอะค็อปได้ไม่น้อย

           

ผลงานในฤดูกาลแรกของเขากับทีมก็ถือว่าไม่เลว ทำได้ 15 ประตูจากการลงสนาม 42 นัด โดยในจำนวนนี้เป็นการออกสตาร์ทตัวจริงแค่ 26 นัดเท่านั้น ซึ่งหากคิดจำนวนประตูกับจำนวนเกมที่ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงจะเห็นว่าเป็นผลตอบแทนที่ใช้ได้

           

อย่างไรก็ดีปัญหาคือเขามักจะไม่ได้โอกาสในการลงเล่นสม่ำเสมอมากนัก

           

จุดที่เป็นประเด็นคือสไตล์การเล่นของลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะในระบบเดิม 4-3-3 หรือระบบใหม่ที่จะเล่น ‘3-box-3’ กองหน้าตัวเป้าจะไม่ได้เป็นกองหน้าที่มีหน้าที่รอแค่โฉบเข้าในกรอบเขตโทษเพื่อหาโอกาสทำประตูเท่านั้น แต่จะต้องลงมามีส่วนร่วมกับเกมด้วย

           

คนที่เล่นบทนี้ได้ดีที่สุดคือโรแบร์โต เฟอร์มิโน รองลงมาคือโคดี กักโป ที่มีเซนส์บอลสูงและเก่งในการลงมาประสานกับเพื่อน

           

ขณะที่นูนเญซไม่เก่งเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย แม้ว่าจะมีความพยายามแต่กลับกลายเป็นการฝืนธรรมชาติในการเล่นของตัวเอง กลายเป็นนอกจากจะไม่ได้ใช้จุดแข็งแล้ว ยังทำให้เห็นจุดอ่อนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

           

ยังไม่นับในเรื่องของ ‘กำแพงภาษา’ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้เขามีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับทีม มีหลายครั้งที่การสื่อสารระหว่างคล็อปป์กับเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องอาศัย เป๊ป ไลน์เดอร์ส ผู้ช่วยเป็นคนถ่ายทอดข้อความให้ หรือบางครั้งรุ่นพี่อย่างติอาโก อัลกันตารา ก็เคยต้องมาบรีฟเอง แต่ผลที่ออกมาไม่ได้ตรงใจเจ้านายไปเสียทุกครั้ง

           

เรียกได้ว่าชีวิตของนูนเญซกับลิเวอร์พูลไม่ง่ายและสวยงามเหมือนเออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ย้ายมาใกล้ๆ กัน

 

ดาร์วิน นูนเญซ

 

กองหน้าที่เกิดมาทำเป็นอย่างเดียว

ดาวยิงวัย 24 ปีรายนี้เป็นกองหน้าในแบบ Direct หรือพุ่งไปข้างหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก การวิ่งปรี่เข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อรอโอกาสในการทำประตูคือสิ่งที่เขาถนัดที่สุดและทำได้ดีที่สุดคนหนึ่ง เพราะมีทั้งความเร็วที่เหมือนติดจรวด ความแข็งแกร่งที่สามารถเบียดชนะใครก็ได้ และสัญชาตญาณในการล่าตาข่ายเหมือนเสือร้ายที่หิวโหย

           

สิ่งที่นูนเญซแสดงให้เห็นในเกมที่เซนต์เจมส์พาร์ก เป็นการตอกย้ำว่าหากลิเวอร์พูลคิดจะใช้งานเขาให้คุ้มค่าที่สุดก็ต้องให้เขาได้เล่นแบบนี้ คือไม่ต้องคิดทำอะไรมากไปกว่าการฉีกหนีกองหลังไปรับบอลจ่ายจากเพื่อน ที่เหลือก็อยู่ที่ความมั่นใจแล้วว่าวันนั้นจะเป็นวันของเขาหรือเปล่า

           

เพราะนูนเญซไม่ได้เป็นกองหน้าที่ชัวร์จัด ในวันที่ผิดฟอร์มต่อให้โอกาสง่ายๆ ก็ยิงไม่เข้าให้เห็นบ่อยๆ แต่นั่นก็เป็นธรรมชาติของกองหน้าและเป็นงานของพวกเขาอยู่แล้ว ในโอกาส 10 หนถ้ายิงไม่เข้า 9 หน แต่ขอครั้งเดียวที่ได้ประตูก็ถือว่าทำงานสำเร็จ

           

ดังนั้นหลังจากนี้น่าสนใจว่าคล็อปป์จะพิจารณานูนเญซใหม่ไหม หลังจากที่กลายเป็นตัวสำรองอดทนรอโอกาสข้างสนามมานาน โดย 3 เกมแรกของฤดูกาลเขาเลือกใช้โชตา และกักโป เป็นตัวเป้า ขณะที่ตัวริมเส้นฝั่งซ้ายก็ยังมี หลุยส์ ดิอาซ ที่กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงได้แล้ว ส่วนฝั่งขวาเป็นตำแหน่งถาวรของซาลาห์ที่หมดสิทธิ์แย่งชิง

           

คล็อปป์บอกว่านูนเญซคือ ‘โครงการระยะยาว’ ของลิเวอร์พูล ซึ่งถ้าคิดตามก็อาจหมายถึงเตรียมแผนการที่จะค่อยๆ ปั้นจนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักได้

           

แต่สำหรับนักเตะในตำแหน่งกองหน้า สิ่งสำคัญที่สุดคือความมั่นใจ โดยเฉพาะในช่วงแบบนี้ที่เริ่มรู้สึกว่าพร้อมทำประตูได้ทุกเมื่อ ผู้จัดการทีมควรเปิดโอกาสให้ได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง

           

ตรงนี้จะเป็นการวัดใจคล็อปป์ด้วยว่าเขาไว้ใจนูนเญซแค่ไหน และยินดีจะปรับระบบทีมสักเล็กน้อยเพื่อเอื้อให้ระเบิดไดนาไมต์ที่มีอยู่ในทีมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่

           

ส่วนนูนเญซเอง เขาพยายามอย่างเงียบๆ มาตลอด อดทนรอคอยโอกาส และทุ่มเทเสมอเมื่อได้ลงสนาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลประทับใจในตัวกองหน้ารายนี้ ต่อให้คุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร

           

อย่างน้อยนูนเญซก็พูดภาษาอังกฤษให้ทุกคนได้ยินแล้วในการสัมภาษณ์หลังจบเกม

 

Thank you for your support! 🙂

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising