ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโฆษณาของประเทศไทยมีเม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลโดยรวมเพิ่มขึ้นสะสมในอัตราเติบโต 27.5% ในทุกๆ ปี สำหรับปี 2564 ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่เม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลก็สามารถเติบโตถึง 18% นับเป็นมูลค่าเม็ดเงินกว่า 24,766 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดในช่วงปี 2563 โดยได้เพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัวจากการคาดการณ์ในช่วงต้นปี
สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ Digital Advertising Association (Thailand) (DAAT) ร่วมกับ คันทาร์ (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่าเม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลจะเพิ่มมากขึ้นประมาณ 9% ในปี 2565 เป็น 27,040 ล้านบาท โดยการคาดการณ์นี้มีปัจจัยทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนในสื่อดิจิทัลมาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ พฤติกรรมในการเสพสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป แพลตฟอร์มออนไลน์ใหม่ๆ ที่เข้ามาในตลาด เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้น การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น และความเร็วของอินเตอร์ที่แรงขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้สื่อดิจิทัลเป็นสื่อที่คุ้มค่าแก่การลงทุนและมีประสิทธิภาพเพื่อจะเชื่อมต่อกับผู้บริโภค
การสำรวจพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก 5 อันดับแรกที่มีเม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลยังคงเป็นกลุ่มเดิม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีเม็ดเงินลงทุนมากที่สุดอันดับ 1 (2,897 ล้านบาท) ตามมาด้วยกลุ่มเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮล์ที่เติบโตถึง 34% (2,680 ล้านบาท) สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอีก 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการสื่อสาร (2,581 ล้านบาท) กลุ่มสกินแคร์ (2,162 ล้านบาท) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (1,657 ล้านบาท)
หากมองในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุด กลุ่มวิตามินและอาหารเสริมคือกลุ่มที่เติบโตมากขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมที่อยู่อันดับที่ 19 ในปี 2563 ขึ้นมาอยู่เป็นอันดับที่ 8 ในปี 2564 นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจออนไลน์ หรือ E-Commerce ก็เติบโตจากปี 2563 มากกว่า 100%
Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มอันดับ 1 ที่แบรนด์ต่าง ๆ เลือกใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภค คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลทั้งหมด ตามมาด้วย YouTube คิดเป็นสัดส่วน 17% และ Social คิดเป็นสัดส่วน 9% ของเม็ดเงินลงทุนบนสื่อดิจิทัล
นอกจากนี้พบว่า Online Video มีอัตราการเติบโตอย่างมาก จากที่เคยอยู่ในอันดับ 8 สามารถขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 5 ในปี 2564 และถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตอีกกว่า 45% ในปี 2565 ในขณะที่ TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มมาใหม่ มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่กว่า 654% และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเพิ่มอีก 26% ในปี 2565 และอาจติด 10 อันดับแรกในปีนี้
สำหรับ E-Commerce และการตลาดแบบช่วยขาย (Affiliated Marketing) ยังคงมีสัดส่วนที่น้อยอยู่เมื่อเทียบกับเม็ดเงินทั้งหมดที่ลงทุนอยู่ในสื่อดิจิทัล แต่ทั้งนี้คาดการณ์ว่าปี 2565 การเติบโตของ 2 กลุ่มนี้จะสูงมาก คือเพิ่มขึ้น 58% และ 41% ตามลำดับ
ดร.อาภาภัทร บุญรอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คันทาร์ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลคือพฤติกรรมการใช้สื่อของผู้บริโภค ทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย และ E-Commerce รวมถึงการดู Online Video และ Online Entertainment อื่นๆ เช่น การเล่นเกมและ E-Sports ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมคือสัดส่วนของประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และการขยายการใช้งานของ 5G ซึ่งลดข้อจำกัดเชิงพื้นฐานและเอื้อให้ผู้บริโภคใช้สื่อออนไลน์ได้นานและหลากหลายขึ้น
ทางด้านของแบรนด์เองมีการโยกเม็ดเงินโฆษณาจากสื่อดั้งเดิมไปสู่สื่อดิจิทัล เราเห็นว่าแบรนด์ต่างๆ ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทัลที่หลากหลายขึ้น สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างและเอ็นเกจได้ดีขึ้น แบรนด์เห็นประโยชน์จากสื่อดิจิทัล ทั้งการสร้าง Awareness และ Conversion อีกทั้งยังสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
ภารุจ ดาวราย อุปนายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ในฐานะผู้รักษาการนายกสมาคม ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์กลายเป็นพฤติกรรมปกติในชีวิตของผู้คน ประกอบกับการตลาดสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องการไปจบที่ Transaction ยิ่งทำให้สื่อโฆษณาออนไลน์ที่สามารถติดตามผลลัพธ์ได้และส่งผู้บริโภคไปยังช่องทางการขายบน E-Commerce ได้กลายมาเป็นโฟกัสหลักของนักการตลาดสมัยนี้ที่มองเรื่อง Effectiveness
แต่สิ่งที่น่าสนใจจากนี้คือ ปัจจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามในยูเครน อัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยเรื่องการเมืองในประเทศของเรา จะส่งผลกระทบกับการตลาดและโฆษณาขนาดไหน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่โฆษณาดิจิทัลจะเติบโตต่อไปในอัตราเลข 2 หลักได้
“นักการตลาดในยุคนี้มีความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศบนดิจิทัลซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลามากขึ้น ปัจจัยหลักๆ เกิดจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งทั้งสองปัจจัยมีส่วนสำคัญกับนักการตลาดในยุคนี้ค่อนข้างมาก เพราะจะทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความสนใจของผู้บริโภคต่อการเสพสื่อ และสามารถเชื่อมโยงและดึงคุณลักษณะและจุดแข็งของแต่ละแพลตฟอร์มออกมาใช้ได้ เนื่องด้วยแต่ละแพลตฟอร์มมีความแตกต่างกัน
“ดังนั้นนักการตลาดควรที่จะสามารถปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ที่ต้องการสื่อสารออกไปได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจะสร้าง Customer Journey ที่มีความสอดคล้องและสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ และนอกจากนั้นการวัดผลและการเรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมากของนักการตลาดยุคนี้” ดร.อาภาภัทรให้ความเห็นเพิ่มเติม
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP