×

ตรวจจุดเด่น-จุดด้อย ตลาดทีวีสตรีมมิงไทยแต่ละค่าย ก่อนตัดสินใจเปิดโรงภาพยนตร์แห่งใหม่ในบ้านคุณเอง

07.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • Netflix เป็นเจ้าเดียวที่สร้างออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองขึ้นมา โดยออกทุนให้ผู้กำกับชื่อดังเพื่อสร้างผลงานในแบบที่เขาต้องการ และนับเป็นเจ้าที่ให้บริการทีวีสตรีมมิงอันดับหนึ่งของโลก
  • iFlix คู่แข่งอันดับ 1 ของ Netflix จุดแข็งอยู่ที่จำนวนหนังและซีรีส์ที่มีให้ดูมากกว่า โดยเฉพาะหนังเก่าฝั่งฮอลลีวูด
  • HOOQ จุดแข็งของค่ายนี้คือหนังไทยเก่าๆ หายากที่บางเรื่องก็ไม่สามารถหาดูได้แล้ว
  • Hollywood HD อยู่ที่การลงทุนซื้อหนังใหม่มาให้ดูเยอะมาก เป็นเจ้าเดียวในเมืองไทยที่กล้าทำแบบนี้ ถือว่าตอบโจทย์คนที่ไม่อยากเดินทางไปโรงภาพยนตร์ แต่สามารถเปิดดูหนังใหม่ๆ ที่ไหนก็ได้
  • DOONEE สำหรับคนที่ชอบดูซีรีส์ฝั่งตะวันตกโดยเฉพาะ นอกจากซีรีส์ยังมีสารคดีวิทยาศาสตร์, สัตว์โลก, ประวัติบุคคล รวมทั้งรายการวาไรตี้เก่า-ใหม่
  • VIU เพื่อสาวกซีรีส์เกาหลีโดยเฉพาะ โดยร่วมมือกับรายการโทรทัศน์ของประเทศเกาหลี 3 ช่องหลักได้แก่ SBS, KBS และ MBC นำทั้งซีรีส์ รายการทีวี และรายการเพลงของเกาหลีมาฉายได้ค่อนข้างครบ

     ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ของการดูหนังในโรงภาพยนตร์จากการบุกตลาดอย่างเต็มตัวของสตรีมมิงแอปพลิเคชันอย่าง Netflix คงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันไปอีกยาว ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในทิศทางไหน แต่ที่แน่ๆ คือการเข้ามาของสตรีมมิงแอปพลิเคชั่นต่างๆ ได้สร้างความน่าตื่นเต้นให้กับโลกการดูหนังและซีรีส์ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

     และเพื่อหาคำตอบนั้นไปด้วยกัน วันนี้เรามีแอปพลิเคชั่นสตรีมมิงที่เปิดให้เสพคอนเทนต์อย่างเป็นทางการในประเทศไทยพร้อมกับจุดดี-จุดเด่น และคอนเทนต์ที่น่าสนใจมาเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ยังลังเลอยู่ตอนนี้

 

 

Netflix

     Netflix ยักษ์ใหญ่แห่งเครือข่ายทีวีทางอินเทอร์เน็ตระดับโลกที่มีสมาชิก 100 ล้านคน เริ่มเข้ามาให้บริการในเมืองไทยเมื่อต้นปีที่แล้ว แต่เพิ่งเปิดตลาดเชิงรุกให้บริการเมนูภาษาไทย ซับไตเติลไทย และพากย์ไทยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง นี่ไม่ใช่การเข้ามาแบบปกติธรรมดา เพราะมาพร้อมแผนการโปรโมตให้ชาวไทยผู้ผูกพันกับการดูของฟรีหันมาสมัครใช้บริการได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวเลขล่าสุดของแฟนเพจ Netflix ทั่วโลกกำลังขึ้นไปแตะจำนวน 35 ล้านคน โดยในส่วนของบริษัทแม่ Netflix มีรายได้รวมในปี ค.ศ. 2016 อยู่ที่ 8.83 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีผลกำไร 187 ล้านเหรียญสหรัฐ

     จุดแข็งที่สุดของ Netflix ที่เอาชนะเจ้าอื่นได้แบบขาดลอย คือนอกจากหนังหรือซีรีส์ที่มีอยู่แล้ว Netflix ยังเป็นเจ้าเดียวที่สร้างออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองขึ้นมา โดยออกทุนให้กับผู้กำกับชื่อดังหลายคนเพื่อสร้างผลงานในแบบที่เขาต้องการ โดยเฉพาะโลคัลคอนเทนต์ที่ Netflix มีงบประมาณให้คนทำหนัง ซีรีส์ และสารคดีในประเทศนั้นๆ สามารถสร้างคอนเทนต์ในประเทศตัวเองขึ้นมามากถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แน่นอนว่าเราจะได้เห็นหนังหรือซีรีส์จากประเทศไทยที่สร้างขึ้นภายใต้แบรนด์ Netflix เช่นเดียวกัน (แต่ยังไม่มีการเปิดเผยในตอนนี้)

     ข้อดีต่อมาคือถ้าเป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix จะปล่อยให้ชมทีเดียวทั้งหมดจนจบทั้งซีซั่น ไม่ต้องรอให้อารมณ์ค้างดูทีละตอนเหมือนที่ผ่านๆ มา และถ้าดูจากออริจินัลคอนเทนต์ทั้งหนังและซีรีส์ที่ Netflix สร้างขึ้นมาแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้กำกับดังๆ หลายต่อหลายคนรวมไปถึงเจ้าของธุรกิจโรงภาพยนตร์ถึงได้ออกมาต่อต้าน Netflix ว่าจะมาทำลายระบบของโรงภาพยนตร์มากขนาดนี้ เพราะคอนเทนต์พวกนี้คุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตามปกติ แถมยังราคาถูกและรับชมได้ง่ายกว่าเห็นๆ

     ที่สำคัญคือ Netflix เป็นเจ้าเดียวที่รองรับความคมชัดสูงสุดในระดับ Ultra HD 4K ที่แค่ต่อกับสมาร์ตทีวีความละเอียดสูง เราก็แทบจะได้โรงภาพยนตร์ย่อส่วนไว้ดูหนังหรือซีรีส์แบบเต็มประสิทธิภาพได้แล้ว

 

 

     Don’t Miss

     Joshua: Teenager vs. Superpower สารคดีที่ย่อยเอาชีวิต 79 วันของโจชัว หว่อง ในช่วงปฏิวัติร่ม (การลุกฮือขึ้นต่อต้านจีนครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมาหลังจากอังกฤษส่งมอบเขตเช่าแห่งนี้คืนให้กับรัฐบาลปักกิ่ง) ปฏิบัติการเพื่อปลดแอกฮ่องกงออกจากการปกครองของจีน มาสรุปสั้นๆ ในความยาว 1 ชั่วโมง 18 นาทีที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เด็กวัยรุ่นตัวเล็กๆ คนหนึ่งมีพลังและกล้าลุกขึ้นมาท้าทายมหาอำนาจอย่างจีนได้ถึงขนาดนี้  

 

 

     Okja ตัวอย่างที่ดีของการเปิดพื้นที่ให้ผู้กำกับเก่งๆ ได้โชว์ไอเดียพิเศษๆ ที่ถ้าตามปกติค่ายหนังใหญ่ๆ ไม่น่าจะอนุมัติให้สร้าง โดย Netflix ได้ทุ่มเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ บองจุนโฮ ผู้กำกับที่สร้างชื่อจาก The Host กับ Snowpiercer ได้นำเอาไอเดียการออกเดินทางตามหาหมูเพื่อนรักที่ถูกลักพาตัวไป มาสร้างเป็นหนังขึ้นมาจริงๆ!

 

 

     Narcos ออริจินัลคอนเทนต์ภาษาสเปนเรื่องแรกของ Netflix เป็นซีรีส์นำเสนอเรื่องของปาโบล เอสโกบาร์ ราชายาเสพติดชาวโคลอมเบียที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เนื่องจากเป็นหนังที่ทำจากมุมของทางฝั่งพ่อค้ายาเสพติดที่นอกจากให้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของกระบวนการค้ายาเสพติด ยังเผยให้เห็นมุมการแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์บางอย่างทางฝั่งอเมริกัน ทำให้เหมือนเราได้ดูสารคดีชีวิตของปาโบล เอสโกบาร์ ในแบบที่ตื่นเต้นเร้าใจ ถ้าใครชอบซีรีส์ยาเสพติด กดดัน ตื่นเต้นตลอดเวลาอย่าง Breaking Bad หรือ Weeds เรื่องนี้ตอบโจทย์แน่นอน

 

 

     13 Reasons Why ซีรีส์ที่ได้ผู้กำกับฝั่งฮอลลีวูดอย่างทอม แม็กคาร์ธีย์ จากเรื่อง Spotlight มาเป็นเอ็กเซ็กคูทีฟโปรดิวเซอร์หยิบเอาเรื่องการ bullying มาเล่าเรื่องได้เจ็บแสบและสะเทือนใจ ว่าด้วยเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายและได้อัดเทป 13 เหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจทำแบบนี้ลงไปเอาไว้เพื่อส่งต่อให้กับทุกๆ คนที่เคยทำลายชีวิตของเธอ

     ราคา: แบ่งเป็น 3 แพ็กเกจ

     1. เริ่มต้นที่ 280 บาท รับชมได้ทีละเครื่อง ความละเอียดระดับ SD

     2. แพ็กเกจ 350 บาท รับชมได้พร้อมกัน 2 เครื่อง ความละเอียดระดับ HD

     3. แพ็กเกจ 420 บาท รับชมได้พร้อมกัน 4 เครื่องความละเอียดสูงสุด Ultra HD 4K

 

 

iFlix

     เรายกให้เป็นคู่แข่งอันดับ 1 ของ Netflix ด้วยจำนวนหนังและซีรีส์ที่มีให้ดูมากกว่า (น่าจะเยอะที่สุดในบรรดาทุกเจ้า) โดยเฉพาะหนังฝั่งฮอลลีวูดเก่าๆ อย่าง Pulp Fiction, Snake on a Plane, William Shakespeare’s Romeo + Juliet, Speed, The Terminal ฯลฯ แต่ก็ยังมีข้อเสียคล้ายๆ Netflix ในเรื่องหนังใหม่ที่อัพเดตค่อนข้างช้า ส่วนคอซีรีส์บอกได้เลยว่าจุใจแน่นอน

     มาร์ก บริตต์ (Mark Britt) ซีอีโอของ iFlix ให้สัมภาษณ์ว่า เขามองไปที่ตลาดเกิดใหม่ของทีวีสตรีมมิงทั่วโลก ทั้งเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลางมากกว่า ทั้งยังบอกว่าตลาดใหม่ๆ เหล่านี้มีผู้ใช้สมาร์ตโฟนมากกว่า 2.5 พันล้านคน

     ถึงแม้จะยังไม่เริ่มอย่างเต็มตัว แต่ตอนนี้ iFlix เริ่มมีแผนสร้างออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว โดยเริ่มที่ซีรีส์ Huy! Bibig Mo (แปลว่า Hey! Watch your mouth) ซีรีส์คอเมดี้ของฟิลิปปินส์ที่ได้ Ramon Bautista โปรดิวเซอร์ชื่อดังของฟิลิปปินส์มาเป็นผู้สร้าง โดยจะเข้าฉายที่อินโดนีเซีย และมาเลเซียด้วย

     โปรเจกต์ที่สองคือการเอา Magic Hour หนังโรแมนติกดราม่าสุดฮิตของอินโดนีเซียในปี 2015 มาขยายเป็นซีรีส์จำนวน 8 ตอน โดยได้นักแสดงนำสอง คนที่กำลังโด่งดังที่อินโดนีเซียอย่าง Dimas Anggara และ Michelle Ziudith มารับบทเดิมเพื่อเป็นตัวชูโรง

     ซึ่งถ้าทั้งสองโปรเจกต์ประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ iFlix จะขยายโมเดลนี้มาที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทยเพิ่มด้วย โดยเฉพาะการ spin off จากหนังดังมาเป็นซีรีส์ภาคขยายที่น่าสนใจมาก และจะเป็นจุดสำคัญที่เอามาสู้กับ Netflix ได้สมน้ำสมเนื้อมากขึ้น

     เรื่องคุณภาพของวิดีโอถือว่าทำได้ดี แต่ยังด้อยกว่า Netflix ในเรื่องความคมชัด เพราะ iFlix มีความชัดสูงสุดแค่ระดับ HD แถมยังปรับความละเอียดของวิดีโอไม่ได้ ความละเอียดจะขึ้นอยู่กับความเสถียรของอินเทอร์เน็ตในขณะนั้น

 

 

     Don’t Miss

     Mr.Robot เรายกให้เป็นซีรีส์ที่สนุกและน่าตื่นเต้นที่สุดของ iFlix ณ เวลานี้ การันตีด้วยรางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยมจาก Golden Globe ปี ค.ศ. 2016 ว่าด้วยเรื่องโปรแกรมเมอร์หนุ่มผู้เกลียดการเข้าสังคม ตอนกลางวันเขาทำงานอย่างเรียบร้อยตามปกติ แต่ตอนกลางคืนเขาจะกลายเป็นแฮกเกอร์ที่คอยพิพากษาคนชั่วจากโลกใต้ดิน โดยภารกิจสำคัญที่เขาต้องทำให้ได้คือทำลายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ควบคุมประเทศสหรัฐอเมริกาเอาไว้ และหนึ่งในนั้นคือบริษัทที่เขาทำงานอยู่นั่นเอง

 

 

     Eyewitness ซีรีส์ที่ทำให้เราต้องหยุดหายใจด้วยความอึดอัดทุกๆ 10 นาที จากทั้งชีวิตดีๆ ของตัวละครหลักที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความสับสนทางเพศของตัวละครหลักที่ไม่สามารถบอกใคร และความโชคร้ายที่บังเอิญไปเจอกับเรื่องที่ไม่ควรรู้และต้องถูกตามล่าจนต้องสูญเสียทุกสิ่งอย่างที่เขาเคยมี

 

 

     Goblin iFlix มีความสัมพันธ์ที่ดีกับค่ายหนังและสถานีโทรทัศน์สำคัญๆ หลายเจ้าโดยเฉพาะทางฝั่งเกาหลี จนคว้าซีรีส์อย่าง Goblin ที่นำแสดงโดยกงยูและอีดงอุคมาไว้ในมือได้สำเร็จ

 

 

     Detective Conan The Movie สำหรับแฟนๆ โคนัน แค่หมวดนี้หมวดเดียวก็คุ้มค่าเงินที่เสียไปแล้ว เพราะ iFlix รวบรวมเรื่องของนักสืบจิ๋วแบบทุกภาค ทุกตอนเท่าที่จะหาได้บนโลกใบนี้มารวมไว้ให้หมดแล้ว

     ราคา: เดือนละ 100 บาท ทดลองใช้ได้ 1 เดือน หนึ่งบัญชีรับชมได้ 5 อุปกรณ์ จะดาวน์โหลดหรือดูแบบออนไลน์ก็ได้ สมัครรายปี 1,000 บาท

 

 

HOOQ

     รายนี้บ้าน AIS ส่งเข้าประกวด ที่ด้านคุณภาพของรายการกับระบบคำบรรยายอาจจะทำได้ไม่ดีเท่า 2 รายแรก แต่ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจด้วยการสร้างแพ็กเกจสมาชิกที่หลากหลาย รวมกับการเอาหนังไทยเก่าๆ มาให้ดูเยอะมาก มีหนังใหม่ให้ดูอยู่พอสมควร แต่จะไม่รวมอยู่ในแพ็กเกจบุฟเฟ่ต์ซึ่งจะต้องซื้อ ‘ตั๋วเช่า’ จากในเว็บ

     แต่ปัญหาที่ต้องแก้อย่างเร่งด่วนที่สุดของ HOOQ ก็คือคำบรรยายภาษาไทยในวิดีโอที่ตัวเล็กและอ่านค่อนข้างยาก แล้วยังมีคำบรรยายที่ไม่ตรงกับคำพูดของตัวละครออกมาให้เห็นเยอะ ทั้งยังไม่รองรับการดูบน Smart TV โดยตรง ต้องสตรีมจากสมาร์ตโฟนขึ้นจออีกทีหนึ่ง

 

 

     Don’t Miss

     อย่างที่บอกไปว่าจุดแข็งของบ้านนี้คือหนังไทยเก่าๆ หายากที่บางเรื่องก็ไม่สามารถหาดูได้แล้ว เช่น 14 ตุลาสงครามประชาชน, เชอรี่ แอน, พลอย, หมานคร, น้ำพุ, อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป, เด็กเสเพล, น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบ, ทองพูน โคกโพ, บุญชู (ทุกภาค), กลิ่นสีและกาวแป้ง ฯลฯ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ดูหนังไทยระดับคลาสสิกกันแบบจุใจ ซึ่งเอาจริงๆ ข้อนี้ข้อเดียวก็คุ้มแล้วที่เราจะยอมเสียเงินสมัครสมาชิก

     ราคา: สัปดาห์ละ 45 บาท, เดือนละ 119 บาท, 3 เดือน 300 บาท และ 1 ปี 1,069 บาท ส่วนตั๋วเช่าราคาใบละ 75 บาท (2 ใบ 100 บาท)

 

 

HOLLYWOOD HDTV

     พี่ใหญ่แห่งวงการ เจ้าแรกที่เริ่มบุกตลาดในเมืองไทย มองจากภายนอกอาจจะดูเงียบๆ แต่ถ้าลองลงลึกไปดูเนื้อหาทั้งหมดถือได้ว่าเป็นอีกเจ้าที่คุ้มค่าแก่การลงทุนเหมือนกัน

     จุดแข็งของ Hollywood HDTV อยู่ที่การลงทุนซื้อหนังใหม่มาให้ดูเยอะมาก (แทบจะทุกเรื่องที่เข้าโรงภาพยนตร์) เป็นเจ้าเดียวในเมืองไทยที่กล้าทำแบบนี้ ซึ่งก็ต้องแลกมากับราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ถือว่าตอบโจทย์คนที่ไม่อยากเดินทางไปโรงภาพยนตร์แต่สามารถดูหนังใหม่ที่ไหนก็ได้

     นอกจากนี้ยังมีหนังเก่าๆ แปลกๆ ให้ดูมากมาย ที่ประทับใจเรามากที่สุดคือหนังจีนคลาสสิกตระกูล Shaw Brothers ที่แทบหาดูไม่ได้จากที่ไหนแล้ว

     จุดอ่อนของ Hollywood HDTV คือคุณภาพของคำบรรยายภาษาไทยที่มีกรอบพื้นสีเทาหรือดำอยู่เยอะ ทำให้เสียอารมณ์เวลาชมภาพยนตร์พอสมควร และยังไม่สามารถดาวน์โหลดหนังเอาไว้ชมแบบออฟไลน์ได้เหมือนเจ้าอื่นๆ

 

 

     Don’t Miss

     Oscar Movies เป็นเว็บเดียวที่มีการจัดหมวดนี้แยกเอาไว้โดยเฉพาะ และมีหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ในด้านต่างๆ ให้ดูมากถึง 120 เรื่อง โดยมีทั้งหนังที่ต้องดูอย่าง Black Swan, Birdman, The Revenant ฯลฯ ไปจนถึงหนังหาดูยากที่หลายคนเกือบลืมไปแล้วอย่าง Psycho, The Fugitive, Almost Famous, The Usual Suspects ฯลฯ

 

 

     Shaw Brothers’ Movies เว็บที่รวบรวมหนังพี่น้องตระกูลชอว์แบบถูกลิขสิทธิ์ไว้มากที่สุดในประเทศไทย อาจจะไม่ถึงขนาดครบทุกเรื่อง แต่หนังขึ้นหิ้งตระกูล ‘เดช’ ทั้งหลายอย่าง Blood Brother (เดชไอ้เปีย), One-Armed Swordsman (เดชไอ้ด้วน) ฯลฯ ก็มีให้ดูหมด

 

 

     Makoto Shinkai’s Animations ถึงแม้จะยังไม่มีเรื่อง Your Name ที่เพิ่งประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายมาให้ดู แต่ Hollywood HDTV ก็ยังมีแอนิเมชันเก่าๆ ที่เป็นผลงานสร้างชื่อของชินไคอย่าง The Garden of Words, 5 Centimeters Per Second, The Place Promised in Our Early Days ไปจนถึงผลงานในยุคบุกเบิกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

     ราคา: แพ็กเกจบุฟเฟ่ต์เดือนละ 199 บาท, หนังที่ต้องเช่าราคาแตกต่างกันไปตามประเภทและความใหม่ของหนัง เฉลี่ยอยู่ที่ 129-249 บาท

 

DOONEE

     สร้างมาเพื่อคนที่ชอบดูซีรีส์ฝั่งตะวันตกโดยเฉพาะ พวกซีรีส์เด็ดๆ ในอดีตนี่น่าจะมีหมด (ยกเว้นพวก Game of Thrones, The Walking Dead, Westworld ที่เจ้าของเขาหวงลิขสิทธิ์จริงๆ) นอกจากซีรีส์ยังมีสารคดีวิทยาศาสตร์, สัตว์โลก, ประวัติบุคคล รวมทั้งรายการวาไรตี้ทั้งเก่าและใหม่ให้ดูเพียบ

     DOONEE เข้าใจคอซีรีส์ที่ไม่ค่อยมีเวลามากที่สุด เพราะสามารถเลือกจ่ายบริการเป็นรายวันแล้วดูให้ตาแฉะกันไปข้าง

     นอกจากซีรีส์ที่เลือกมาให้ชม อีกอย่างที่เราชอบมากๆ ของ DOONEE คือทีมงานเขียนบรรยายแนะนำซีรีส์แต่ละเรื่องแบบละเอียดมาก ช่วยในการตัดสินใจรับชมได้ง่ายขึ้นแบบที่ไม่ต้องพึ่งรีวิวจากเว็บอื่นๆ ประกอบเลย นอกจากนี้ยังมีซีรีส์หรือสารคดีที่เข้าไปดูได้ฟรีอยู่เยอะเหมือนกัน

 

 

     Don’t Miss

      ซีรีส์ตระกูล CSI ทั้งหมด, Dexter, Homeland, Doctor Who, American Horror Story, Prison Break, Orphan Black ฯลฯ

     ราคา: วันละ 9 บาท, เดือนละ 150 บาท และปีละ 1,500 บาท (แพ็กเกจรายวันราคา 9 บาท สั่งซื้อได้ง่ายผ่านมือถือ เหมาะสำหรับคนทำงานที่อยากนอนดูซีรีส์ยาวๆ วันหยุดอย่างยิ่ง)

 

 

VIU

     ถ้า DOONEE สร้างมาเพื่อคอซีรีส์ตะวันตก VIU ก็ถูกสร้างมาเพื่อสาวกซีรีส์เกาหลีโดยเฉพาะเช่นเดียวกัน แค่มีข่าวว่าจะเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ถึงขนาดทำให้เว็บที่พึ่งทางใจของสาวกซีรีส์เกาหลีอย่าง kodhit ต้องปิดตัวลงไปทันที

     VIU ได้ร่วมมือกับรายการโทรทัศน์ของประเทศเกาหลี 3 ช่องหลัก ได้แก่ SBS, KBS และ MBC นำทั้งซีรีส์ รายการทีวี และรายการเพลงของเกาหลีมานำเสนอได้เกือบทั้งหมด นอกจากจุดเด่นเรื่องรายการวาไรตี้ทั้งหลาย ก็ยังมีซีรีส์ทั้งเก่าและใหม่ให้เลือกชมอย่างเยอะ สำหรับซีรีส์ใหม่ๆ ที่กำลังออนแอร์อยู่ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 1 วัน เราก็รับชมได้แล้ว พร้อมๆ กับคำบรรยายไทยที่ต้องบอกว่าอัพเกรดมาจากตอนเป็นเว็บเถื่อนขึ้นมาแบบเยอะมาก แทบจะไม่มีคำหลุดๆ หรือประโยคหล่นหายมาทำให้เสียอรรถรสในการรับชมอีกต่อไป

 

 

     Don’t Miss

     Romantic Doctor Teacher Kim ซีรีส์เกี่ยวกับหมอผ่าตัดที่ทำให้เราหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะตั้งแต่ ep. แรก ด้วยภาพการผ่าตัดที่สมจริง กรีดเป็นกรีด เลือดเป็นเลือดชัดๆ แบบไม่มีหลบมุมกล้อง บวกกับการตัดต่อที่ทำได้ดีมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังทริลเลอร์ในช่วงที่บีบคั้นสุดๆ (ซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่อยู่ในห้องผ่าตัด) แถมเนื้อเรื่องก็สมจริงตามมาตรฐานซีรีส์เกาหลี จนตอนสุดท้ายเรตติ้งสูงสุดของเรื่องนี้พุ่งทะยานไปถึง 28 เปอร์เซ็นต์

 

 

     The Emperor: Owner of the Mask ซีรีส์พีเรียดยุคโชซอน เล่าถึงพระราชาเงาที่อยู่ใต้อำนาจมืดของกลุ่มขุนนางผู้มีอิทธิพล พอมีลูกชายเป็นองค์รัชทายาท ซึ่งคือพระเอกของเรื่อง เขาจึงถูกใส่หน้ากากตั้งแต่เด็กเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าหน้าตาที่แท้จริงเป็นอย่างไร เมื่อใช้ชีวิตอยู่แต่ในวัง จึงไม่รู้เรื่องราวภายนอก จนวันหนึ่งที่เจ้าชายรัชทายาทหนีออกจากวัง จึงได้พบสัจธรรมว่าผู้คนล้วนแต่อดอยากและเจ็บป่วย และเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เขาจึงให้เพื่อนนอกวังปลอมเข้ามาเป็นรัชทายาท เรื่องนี้ฉายใกล้จบแล้วและเรื่องราวกำลังเข้มข้น ลองกดติดตามดูได้

 

 

     Whisper เรื่องราวในวงการกฎหมาย เมื่อพ่อนางเอกโดนป้ายสีให้ติดคุก ฝ่ายพระเอกเป็นผู้พิพากษาที่โดนกดดันจนต้องตัดสินคดีนี้ผิดๆ เท่านี้ยังไม่พอ เขายังโดนกดดันให้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าของบริษัทกฎหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของพ่อนางเอก จนสุดท้ายฝ่ายนางเอกของเราก็ร่วมมือกับผู้พิพากษากลับใจในการรื้อฟื้นคดีพ่อให้ได้รับความยุติธรรม เรื่องนี้มีความหักเหลี่ยมเฉือนคมในทุก ep. สายดราม่าไม่ควรพลาด

     ราคา: VIU ใช้วิธีให้อัพเกรดสมาชิกเป็นแบบพรีเมียมเดือนละ 119 บาท ซึ่งจริงๆ เราสามารถเข้าชมซีรีส์ของ VIU ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะมีเงื่อนไขในการรับชม เช่น มีโฆษณาคั่น (เยอะมาก) รับชมได้แค่ความละเอียดแบบ SD สำหรับซีรีส์ใหม่จะได้ดูหลังจากปล่อยให้สมาชิกพรีเมียมดูไปแล้ว 3 วัน

 

     เมื่อดูจากทางเลือกในเมืองไทยที่มีอยู่ตอนนี้ อาจจะยังไม่ได้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้นสำหรับการก้าวสู่โลกการดูหนัง และซีรีส์ผ่านอินเทอร์เน็ตแบบถูกกฎหมาย

     สำหรับมือใหม่ช่วงแรกๆ อาจยังไม่คุ้นเคย ลองสำรวจตัวเองว่าอยู่สายไหน แล้วเลือกสักแอปฯ ข้างบนนี้มาใช้งาน จากนั้นใช้เวลาดื่มด่ำกับคอนเทนต์ที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่ หรือถ้าใครชอบหลายแนวจะเลือกเพิ่มอีกหนึ่งหรือสองแอปฯ ก็ไม่เสียหาย เพราะค่าบริการเฉลี่ยของทุกเว็บอยู่ที่ประมาณวันละ 6 บาทเท่านั้นเอง

 

ภาพประกอบ: Pichamon Wannasan

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising