×

ปอกเปลือกเรื่องลับอัลบั้ม ‘สัตว์จริง’ และประสบการณ์ ‘เผด็จเกิร์ล’ ที่ Tattoo Colour ได้เผชิญ

22.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 Mins. Read
  • Tattoo Colour ผ่านงานสตูดิโออัลบั้มมาแล้ว 4 ชุดคือ Hong Ser (2549), ชุดที่ 8 จงเพราะ (2551), ตรงแนวๆ (2553) และ Pop Dad (2557) และจัดได้ว่าพวกเขาคือวงดนตรีในแนวทางป๊อปที่มีเพลงฮิตมากที่สุดวงหนึ่งแห่งยุค
  • สมาชิกของ Tattoo Colour ประกอบด้วย ดิม-หรินทร์ สุธรรมจรัส (ร้องนำ), รัฐ พิฆาตไพรี (ร้อง-กีตาร์), ตง-เอกชัย โชติรุ่งโรจน์ (กลอง) และจั๊ม-ธนบดี ธีรพงศ์ภักดี (เบส)
  • ในการพูดคุยกันครั้งนี้ ตงดูเหมือนจะมีส่วนร่วมอยู่น้อยมาก เพราะเขามัวแต่ก้มหน้าก้มตาแชตกับแฟนจนแทบไม่ได้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถ้ามองอีกมุม เขาก็เป็นตัวแทนเพื่อนๆ สื่อถึงภาพลักษณ์เพลงใหม่ที่มาจากประสบการณ์รักจริงๆ ในเพลง เผด็จเกิร์ล ได้อย่างเห็นภาพเอามากๆ  
  • ในซีดีอัลบั้ม สัตว์จริง มีเพลง หลับลึก เป็นเพลงแรก แต่แท้จริงมันเป็นเพลงที่ทำเสร็จเป็นเพลงสุดท้าย เพราะผ่านการแก้เนื้อเพลง แก้ดนตรีอยู่หลายครั้ง และเมื่อเพลงเสร็จ มันกลับกลายเป็นเพลงที่รัฐ ที่มีอีกตำแหน่งเป็นโปรดิวเซอร์ของวงมองว่า หลับลึก เป็นภาพรวมทั้งหมดของเพลงในอัลบั้มชุดนี้

     Tattoo Colour กลับมาอีกครั้งกับสตูดิโออัลบั้มที่ 5 สัตว์จริง ซึ่งเต็มไปด้วยฟีดแบ็กน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการตัดสินใจปล่อย 13 เพลงใหม่ยกอัลบั้มลงยูทูบให้แฟนเพลงฟังกันไปเลย ส่วนจะด้วยเหตุผลอะไร ตกลงทำไปแบบนี้ดีหรือไม่ดี เดี๋ยวค่อยเลื่อนไปอ่านเหตุผลของพวกเขา แต่พูดในฐานะแฟนเพลง ความน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือมันเป็นอัลบั้มที่เต็มไปด้วยเพลงป๊อปที่ทั้งฟังเพราะ ฟังสนุกแทบยกอัลบั้ม!

     ทั้งดิม รัฐ จั๊ม และตง ยืนยันว่านี่คือความตั้งใจที่อยากจะกลับไปสู่บรรยากาศสมัยทำเพลงในอัลบั้มแรกที่เต็มไปด้วยความคึกคักอีกครั้ง สิ่งที่พิสูจน์ความคิดนั้นคืออัลบั้มนี้พวกเขาตั้งใจทำเพลงเร็วแทบทั้งหมด แล้วเปิดโอกาสให้คนฟังได้ซึ้งกับเพลงช้าที่เคยเป็นลายเซ็นเพียง 2 เพลง!

     ตอนนี้นอกจากเพลง ‘เผด็จเกิร์ล’ จะกลายเป็นมิวสิกวิดีโอที่คนกำลังพูดถึงกิมมิกขำๆ (ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็น) แต่เนื้อหายิ่งน่าเก็บเอามาคุยกับพวกเขา ด้วยเพราะมันแต่งขึ้นมาจากประสบการณ์ความรัก ความสัมพันธ์แบบเรียลๆ ของเพื่อนสมาชิกในวงเอง ส่วนใครจะเคยเจอปรากฏการณ์ เผด็จเกิร์ล รูปไหนบ้าง การนั่งฟังผู้ชายเมาท์มอยแฟนของตัวเองนี่บอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่เพลินมาก!

 

 

นี่ก็งานเพลงอัลบั้มใหม่ ‘สัตว์จริง’ มาได้เกือบ 1 เดือนแล้ว เช็กฟีดแบ็กจากปากพวกคุณเลยแล้วกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

     รัฐ: รู้สึกว่าฟีดแบ็กดีมากเลยครับ ตกใจตั้งแต่ตอนที่เราเปิดให้พรีออร์เดอร์ 500 แผ่นแรก เราจะแถมเข็มกลัดด้วย ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่มั่นใจว่าคนฟังจะยังอยากซื้อซีดีอัลบั้มอยู่หรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเปิดพรีออร์เดอร์ไป 4 ชั่วโมงก็หมดแล้ว เอาเป็นว่าเหวอกันทั้งค่าย เราต้องขอบคุณมากที่เขามาพรีออร์เดอร์กัน ทั้งที่ยังไม่ได้ฟังเพลงเต็มๆ กันเลย

     จั๊ม: หรืออย่างมิวสิกวิดีโอเพลงแรกที่ปล่อยออกไปก็มีเสียงตอบรับหลายๆ รูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเชิงบวก ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับ Tattoo Colour ในเชิงภาพด้วย เพราะคนให้ความสนใจกันเยอะ พวกเราก็ดีใจ ส่วนทางลบ ความจริงมันไม่เชิงลบหรอกครับ ผมหมายถึงเขาอาจจะโยงไปถึงเรื่องภาพที่อาจจะสื่อไปทางการเมืองประมาณหนึ่ง ซึ่งมันดูเหมือนเป็นทางลบในมุมมองของเรา แต่ในสิ่งที่เรานำเสนอมันก้ำกึ่ง แล้วแต่คนจะมองและตีความกันไปแล้วกัน เพียงแต่ความจริงตอนทำ เราไม่ได้คิดลึกอะไร

     ดิม: ผมพูดถึงฟีดแบ็กเรื่องการปล่อยอัลบั้มลงยูทูบดีกว่า เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครปล่อยอัลบั้มลงยูทูบสักเท่าไร ปกติเขาก็มักจะปล่อยลงไปแค่ซิงเกิลเดียว หรือซิงเกิลที่มาพร้อมมิวสิกวิดีโอ แต่นี่เราปล่อยเพลงลงไปทั้งอัลบั้ม พอตัดสินใจทำแบบนี้ มันเลยส่งผลให้มีทั้งคนที่รู้สึกดี ขณะเดียวกันสำหรับบางคนที่ซื้ออัลบั้มของเราไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าทำไมถึงทำกับพวกเขาอย่างนี้ เพราะเหมือนว่าอัลบั้มที่เขาซื้อมามันไม่มีค่า

     สิ่งที่ผมเห็นคือบางเพลงในอัลบั้ม หรือกับเพลงที่คนชอบมากจริงๆ ยอดวิวมันสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่เราเคยเห็นแค่ 3 เพลงที่มียอดวิวสูงสุด แต่การทำแบบนี้ กลายเป็นว่าเราได้เห็นยอดวิวทั้ง 13 เพลงในตัวเลขที่เท่าๆ กัน

     สำหรับผมมันคือความดีใจมากเลยนะที่ยอดวิวเพลงในอัลบั้มของเรามันไม่ได้ไปกองรวมกันไว้แค่ที่เพลง เผด็จเกิร์ล, หลับลึก หรือ รถไฟ แต่มันยังต่อไปถึงเพลง ยังอีก, รองเท้าเก่า ฯลฯ พูดง่ายๆ ว่าแทบจะเป็นที่พูดถึงทุกเพลงเลย แล้วยิ่งหลังๆ มันคือความชื่นใจของผมที่พอปล่อยทุกเพลงลงไปในยูทูบ เราก็ได้รับการรีวิวผลงานกลับมาทุกเพลง ทั้งจากสื่อและแฟนเพลงที่คอมเมนต์มาจากใต้ยูทูบ พวกเราก็อ่านกันหมด

     ตง: ฟีดแบ็กออกมาดีมาก ผมค่อนข้างประทับใจ บางคอมเมนต์บอกว่าเพลงในอัลบั้มนี้ทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงอัลบั้มแรกเลย (Hong Ser) ซึ่งเป็นความตั้งใจของพวกเราอยู่แล้วว่าอยากจะกลับไปเป็นอย่างนั้น

     รัฐ: ขออธิบายต่อหน่อยนะครับ คือ สัตว์จริง เป็นอัลบั้มที่ 5 แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนทำอัลบั้มแรก ตอนนั้นพวกเราทุกคนสดมาก เรายังเป็นเด็กหนุ่ม มีอะไรก็ใส่หมด แล้วพอถึงอัลบั้มชุดที่ 2 (ชุดที่ 8 จงเพราะ) ตอนนั้นพวกเราได้ย้ายจากขอนแก่นมาอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้ว คือยกโขยงมานอนกันอยู่ที่ค่ายสมอลล์รูม ซึ่งตอนนั้นค่ายเรายังอยู่ที่ย่านเอกมัย มีห้องประจำเป็นของพวกเราเองเลย

     ถ้าใครสังเกต ก่อนที่วงผมจะมาอยู่ หน้าค่ายเพลงไม่เคยมีใครมานั่งกินเหล้าเลยนะครับ แต่พอวงผมมาอยู่ปุ๊บ เละเลยครับ (หัวเราะ) ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่สิ่งดีคือพอเราได้ไปอยู่ตรงนั้น มันทำให้เราได้เจอกับบุคลากรในค่ายสมอลล์รูมแบบทุกวัน ทุกเวลา สุดท้ายเลยกลายเป็นว่ามีแต่คนเก่งๆ มาช่วยกันทำงานเพลง อัลบั้มที่ 2 ก็เลยยิ่งเฟิร์มเข้าไปอีก งานดนตรีก็พัฒนาขึ้นไปมาก แล้วมันก็เป็นอัลบั้มที่ดังมากจริงๆ ตอนนั้นเราก็งงมากเหมือนกัน

     พอถึงอัลบั้มที่ 3 เราก็เริ่มอยากทดลอง ทำงานอะไรที่ไม่เคยทำ (ตรงแนวๆ) แล้วพอมาถึงอัลบั้มที่ 4 (Pop Dad) เราอยากให้ภาคดนตรีมันดูจริงจังขึ้น เราอยากอัดเพลงกันดีๆ ใช้ซาวด์ดีๆ อยากทำซาวด์เพลงป๊อปแบบยุคคุณพ่อ เราได้ ‘ฟีเจอริง’ กับรุ่นใหญ่อย่าง Soul After Six กับ Greasy Café (เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร)

     ตอนนี้พอถึงอัลบั้มชุดที่ 5 เรารู้สึกว่าจริงจังมาพอแล้ว แล้วบุคลิกและตัวตนของพวกเราก็ไม่ใช่คนจริงจังขนาดนั้น แล้วพอคิดถึงความสนุก ซึ่งความจริงพวกเราสนุกกับการทำอัลบั้มแรกที่สุดเลย เราก็เลยอยากให้เพลงในอัลบั้มนี้มันเป็นอารมณ์แบบอัลบั้มแรก คือสดใส สนุกสนาน นั่นเลยทำให้อัลบั้มใหม่นี้มันมีเพลงช้าอยู่แค่ 2 เพลง ที่เหลือก็ทำเพลงสนุกๆ เลยแล้วกัน

     พอผ่านงานทดลองมาแล้วอัลบั้มหนึ่ง ซีเรียสมาแล้วอัลบั้มหนึ่ง เราขอใช้คำว่าซีเรียสแล้วกัน เพราะมันถือว่าซีเรียสที่สุดของเรา แต่กับคนอื่นเขาอาจจะไม่คิดว่าซีเรียสก็ได้ อัลบั้มนี้เราก็เลยอยากกลับมาสนุกเหมือนเดิม

 

ในขณะที่วงอยากย้อนกลับไปทำเพลงเหมือนอัลบั้มแรกที่ผ่านมาแล้วเกือบจะ 12 ปี แต่หัวใจข้างในนี่ยังหนุ่มแน่น ฟิตเปรี๊ยะกันดีอยู่ใช่ไหมครับ

     รัฐ: มันเป็นอย่างนี้ครับ คือเรื่องวิธีการทำงาน พวกเราทำกันเองอยู่แล้ว มันก็เลยรู้ๆ กันอยู่ว่าจะเริ่มต้นทำอัลบั้มกันยังไง เราอาจมีวิธีคิดเหมือนอัลบั้มแรก แต่แน่นอนว่าความจริงเพลงมันก็ต่างกัน เพราะเวลาก็ต่างกันไปสิบกว่าปี

     ความต่างที่ว่าคือเราเริ่มเป็นงานขึ้น หมายความว่าเรารู้แล้วว่าจะอัดเสียงยังไง แล้วอัดเสียงแบบไหนงานถึงจะออกมาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน พอเรารู้วิธีการที่ถูกต้อง งานก็ย่อมจะเนี้ยบขึ้นกว่าเมื่อก่อน

 

 

พวกคุณชอบโมเมนต์แบบไหนในช่วงยังทำงานเพลงอัลบั้มแรกมากที่สุด

     รัฐ: ฟีลแรกเลยคือตอนรับเงินเดือนแรกครับ (หัวเราะ) สุดยอดเลย ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเช็ค เพราะเงินที่เราได้ยังไม่ได้เยอะถึงขั้นนั้น แต่จะเป็นใส่ซองมา ซองแรกรู้สึกจะประมาณไม่ถึงหมื่น  

     ดิม: มีเศษเป็นเหรียญอยู่ในนั้นด้วย ก๊องแก๊งๆ

     รัฐ: เปิดซองดู โอ้โห รวยแล้วเว้ย (หัวเราะ)

 

จำได้ไหมว่าเงินซองแรกหมดไปกับอะไร

     รัฐ: โอ้โห ผมกินเหล้าอย่างเดียวเลย พูดเล่น (หัวเราะ) คือตอนนั้นเราเป็นเด็ก เราเป็นวงใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นปี 2549 ค่ายสมอลล์รูมเราออกมา 6 ศิลปินคือ Tattoo Colour, Slur, Lemonsoup, บอล จารุลักษณ์, ญารินดา บุนนาค, กิ-กิรตรา พรหมสาขา ณ สกลนคร แล้วตอนนั้นในค่ายก็จะมีพี่ๆ วง Armchair และ Superbaker อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นอัลบั้มแรก เราเห็นว่าทุกคนเหนื่อยมากับเรา พอได้เงินซองนั้นมา เราก็เลยเลี้ยงเหล้าแม่งหมดเลย (หัวเราะ)

 

อีกเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจ คือปกติศิลปินเพลงยุคนี้จะชอบปล่อยงานออกมาทีละซิงเกิล แต่คราวนี้พวกคุณมาแปลก เพราะเล่นปล่อยงานสตูดิโออัลบั้มออกไปพร้อมกันหมดในยูทูบ 13 เพลงเลย ถามจริงๆ คุณมองเห็นอะไรกับแนวทางนี้บ้างถึงเลือกทำ

     รัฐ: ผมขอเล่าในส่วนของการทำอัลบั้มแล้วกันนะครับ คือตั้งแต่แรกเลย พวกเราตัดสินใจว่าอยากทำเพลงเป็นอัลบั้ม ผมก็เลยบอกกับพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ – ผู้บริหารค่ายสมอลล์รูม) ว่า พี่รุ่งครับ ผมอยากออกเป็นอัลบั้มใหม่ ไม่ได้อยากออกเพลงแบบปล่อยเป็นทีละซิงเกิล ระหว่างนั้นเราก็ทยอยส่งเดโมจนเสร็จทั้งอัลบั้ม สาเหตุเพราะเราอยากเห็นภาพรวมทั้งหมดของอัลบั้ม ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ชุดนี้ให้เสร็จก่อน แล้วหลังจากนั้นถึงค่อยเริ่มวางแผนว่าจะปล่อยเพลงไหนเป็นลำดับหน้า-หลังเพื่อประชาสัมพันธ์อีกทีหนึ่ง

     สาเหตุเพราะเราถนัดแบบนี้ครับ มันไม่ได้หมายความว่าศิลปินที่ปล่อยเพลงเป็นซิงเกิลจะดีหรือไม่ดีไปกว่าเรา เพราะฉะนั้นกลับมาที่เรื่องว่าทำไมเราถึงปล่อยเพลงลงยูทูบทั้งหมด มันเป็นเพราะเราอยากจะกระจายให้ทุกคนได้ฟังเพลงจริงๆ อยากให้ทุกคนได้เห็นภาพรวมทั้งหมดของอัลบั้มชุดใหม่ จะได้เข้าใจได้ชัดเจนกว่า ส่วนบางคนถ้าไม่ถนัดที่จะฟังเพลงผ่านแอปพลิเคชัน หรือบางคนไม่ถนัดที่จะซื้อซีดี หรือไม่มีสตางค์ การฟังผ่านยูทูบมันเลยง่ายมาก เพราะหลายคนก็ฟังยูทูบกันทุกวันอยู่แล้ว และเหตุผลอีกส่วนหนึ่งคือ ถึงเราไม่ปล่อย ยังไงมันก็ต้องมีคนปล่อย

 

ว่ากันว่าชีวิตคนเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน อย่างอัลบั้มนี้ก็ห่างจากอัลบั้มที่แล้วมาเกือบ 3 ปี คิดว่าถึงเวลานี้ พวกคุณเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

     รัฐ: ที่เปลี่ยนแปลงไปมากน่าจะเป็นเรื่องความอดทนต่อพิษบาดแผลต่างๆ จากเรื่องการทำเพลงที่เพิ่มมากขึ้นนะครับ ความจริงถ้านับกันจริงๆ เราห่างจากการทำงานเพลงในอัลบั้มล่าสุดมาไม่ถึง 3 ปีหรอก เพราะเหมือนกับเรามีงานทิ้งท้ายอัลบั้มไว้ด้วย แต่หลังจากนั้นพอเริ่มต้นทำอัลบั้มใหม่ มันมีช่วงที่ผมตันอย่างรุนแรง มืดตึ้บ เรียกว่าเปิดไฟยังมืด (หัวเราะ) ตอนนั้นผมยังคิดกับตัวเองอยู่เลยว่า ‘มึงนี่ หมดแล้ว’ ผมคิดแบบนั้นอยู่เป็นเวลานานเลยว่า ชีวิตนี้มึงจบแล้วกับการทำงานอัลบั้ม เพราะมันไม่มีอะไรออกมาเลย เฉพาะแค่ทำให้ออกมาเพลงเดียวผมยังคิดไม่ออกเลย

     แต่สุดท้ายแล้วมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่ผมได้มาคุยกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนก็ให้กำลังใจ แล้วช่วงหนึ่งเรามีการพักงาน เพื่อเป็นการพักวง ผมเองก็เลยใช้ช่วงเวลานั้นไปบวช หลังจากนั้นพอสึกออกมา เราก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้น ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น สิ่งที่รู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงชัดๆ เลยคือเรามีความอดทนมากขึ้น เรามีความขยันมากขึ้น

     ที่ผ่านมาผมอาจจะขยันก็จริง แต่พอถึงช่วงตันปุ๊บจะเริ่มนอยด์แดก เริ่มฟุ้งซ่าน ผมเป็นคนอดทนต่อความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเองไม่ค่อยได้ แต่หลังจากบวช นอกจากจะไม่นอยด์ ผมยังอดทนต่อความรู้สึกของตัวเองได้มากขึ้น

 

 

แสดงว่าการตัดสินใจออกบวชนี่ช่วยปลดล็อกอะไรบางอย่างของเราได้เยอะเหมือนกัน

     รัฐ: อาจจะมีส่วนครับ ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของการได้พัก เพราะช่วงนั้นเราไม่ได้รับงานเป็นเดือนเลย เราเลยได้ทั้งความสงบด้วย และได้กำลังใจจากเพื่อนๆ ด้วย

 

แล้วตอนไหนที่รู้สึกว่าความตันมันหายไปแล้ว ไอเดียต่างๆ มันเริ่มกลับมาอีกครั้ง

     รัฐ: หลังจากที่ผมเริ่มส่งเพลงล็อตใหญ่ล็อตแรกให้พี่รุ่ง ซึ่งส่งไป 6-7 เพลง คือผมตั้งใจว่าถ้าไม่ถึง 7-8 เพลงผมจะไม่ส่งเขาน่ะ (หัวเราะ) นั่นคือสิ่งที่ผมเปลี่ยนแปลงไปนะครับ ส่วนสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือเรายังพยายามจะทำเพลงในแบบ Tattoo Colour จริงๆ และไม่พยายามจะใส่อะไรลงไปในเพลงที่มันไม่ใช่ตัวเองอีกแล้ว ต่อไปนี้เราอยากให้ใครฟังงานก็รู้ได้ทันทีว่านี่คืองานของ Tattoo Colour แปลกใหม่ยังไงอยู่ที่รายละเอียด แต่ว่าตัวเนื้อในจริงๆ ก็ยังคงเป็น Tattoo Colour อยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะหาตัวเองไม่เจอ

     ดิม: โอ้โห ความจริงตอนนั้นผมก็ไปหามันนะ บางทีใช้ช่วงเวลาหลังจากโชว์เสร็จไปนั่งคุยกัน คือตอนคนอยู่เยอะๆ เวลาไปปลอบแล้วมันเขินไง ผมก็บอกไปว่า มึงทำเพลงฮิตมากี่เพลงแล้วเนี่ย ฉะนั้นไม่ต้องมัวมานั่งซีเรียสกับตรงนี้แล้ว มึงแค่ทำมันออกมาเถอะ อะไรที่มึงคิดว่ามันดีเนี่ย เดี๋ยวกูไปร้อง ไอ้จั๊มไปเล่นเบสให้ ไอ้ตงไปตีกลอง ทุกอย่างที่มึงทำ ยังไงมันก็คือวง Tattoo Colour อยู่ดี ไม่ว่าเพลงมันจะดังหรือไม่ดัง

     ฉะนั้นมึงปลดความกดดันไปได้แล้ว เพลงมันจะออกมาฮิตหรือไม่ฮิต มึงไม่ต้องสน เพราะตอนที่เราทำเพลงในอัลบั้มแรก เราก็เริ่มต้นมาจากการที่เราชอบมันก่อน ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้ด้วยว่าเพลงมันจะฮิตหรือเปล่า ฉะนั้นมึงอย่ามัวนอยด์เลย มันยังมีอีกหลายเรื่องที่มึงควรนอยด์กว่านี้ และถึงแม้มึงจะคิดไม่ออก มีอะไรที่พวกกูพอช่วยได้ก็บอกมา อยากให้พาไปนวดหรืออะไรก็บอก กูทำให้ได้

     คือเราก็ช่วยเพื่อนได้ตรงนี้มากกว่า เพราะถ้าจะให้กูแต่งเพลงแทน กูก็แต่งไม่เป็น (หัวเราะ) ฉะนั้นก็ช่วยบรรเทาเพื่อนทางด้านจิตใจไปดีกว่า

 

เพราะเราไปผูกปมไว้ว่าต้องแต่งเพลงให้ฮิตหรือเปล่า ถึงแต่งไม่ออก

     รัฐ: ผมไม่ได้เป็นคนผูกเอง คือเราอาจจะคิดไปเองว่าคนจะคาดหวัง แต่ผมก็รู้แหละว่ายังไงคนก็คาดหวัง ผมหมายถึงความรู้สึกในตอนนั้นนะครับ แต่ตอนนี้มันได้ผ่านช่วงเวลานั้นไปแล้ว… อย่างแรก ค่ายสมอลล์รูมก่อนเลย กลัวว่าพี่รุ่งจะไม่ให้ผ่าน หรือถ้าทำออกมาแล้วเสียงวิจารณ์จะออกมาเป็นยังไง ความรู้สึกตอนนั้นคือไม่สนุกเลย ฝืดมาก

 

กลับมาที่เรื่องความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง นอกจากรัฐแล้วคนอื่นยังไม่ได้ตอบเลยนะ

     จั๊ม: ตอบยากนะครับ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนจริงๆ ก็คือไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พวกเราก็ยังเป็นแบบนี้ อย่างล่าสุดผมไปรายการของน้าเน็ก (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) น้าเน็กบอกว่า โอ้… นี่มันกลุ่มคนชั่วนี่หว่า (หัวเราะ) ฟีลด์พวกเรามันยังคงเหมือนเดิม คือเป็นคนบ้าๆ บอๆ ตลกโปกฮาไปได้เรื่อยๆ คือไอ้พวกนี้มันดูเหมือนคนที่ไม่น่าจะตั้งใจทำงาน แต่ถึงเวลาทำงานพวกมันก็ซีเรียสฉิบหาย

สิ่งที่ไอ้พวก Tattoo Colour มันไม่เคยเปลี่ยนเลยคือนิสัย ไอ้พวกนี้มันไม่ได้คิดว่ายิ่งอยู่นาน มีอัลบั้มเยอะ แล้วพวกกูต้องรุ่นใหญ่ หรือต้องมีอีโก้ บังเอิญว่าในจุดนี้พวกคนในวงมันไม่ค่อยจะมีกันสักเท่าไร

     รัฐ: คือมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะมันเป็นกันไม่ได้จริง (หัวเราะ) อยากจะทำตัวเก๋าแค่ไหน พอมองหน้ากันแล้วก็ตลกกันเองอยู่ดี

     ตง: ทุกวันนี้คุยกับรุ่นน้อง มันยังไม่เคารพเลย (หัวเราะ)  

 

 

ติดตามจากในเฟซบุ๊กไลฟ์ รู้สึกว่าอัลบั้มนี้เห็นจั๊มมักจะใส่เสื้อแบรนด์ Dolce & Gabbana ที่ราคาแพงกว่าเสื้อผ้าของเพื่อนทุกคนรวมกัน อันนี้จริงไหม

     จั๊ม: ตัวนี้น่าจะประมาณ 54,000

     ตง: (หัวเราะ) แค่เสื้อมันตัวเดียว เสื้อผ้าพวกผมทุกชิ้นรวมกันยังไม่ได้เท่าราคาเสื้อมันเลย

     ดิม: ให้ไอแพดกูรวมไปด้วยเลย ยังไม่ถึงราคาเสื้อมึงเลยไอ้สัตว์

 

ตัวที่ใส่มาวันนี้ล่ะครับยี่ห้ออะไร

     จั๊ม: Dolce & Gabbana

     ดิม: ที่รัฐใส่อยู่ก็ยี่ห้อคล้ายๆ กันนี่แหละ ดอลเช่ แอนด์ กัมปนาท (หัวเราะ)

 

ทำไมถึงชอบใส่เสื้อยี่ห้อนี้ครับ

     จั๊ม: มันแล้วแต่ซีซันด้วยครับ อย่างซีซันที่ผ่านมา ธีมมันมีความเป็นนักดนตรี มันก็เลยมีลายเสื้อผ้าหลายตัวที่ผมชอบ

     ดิม: เดี๋ยวกูพามึงไปซื้อเสื้อลายคล้ายๆ กันนี่เลย พามึงไปซื้อให้ครบเซต ทุกซีซันแม่งเลย

     ตง: มันเป็นเรื่องของควอลิตี้ ควอลิตี้มันไม่เหมือนกัน

     จั๊ม: ใช่ครับ มันเป็นเรื่องของควอลิตี้กับดีไซน์ที่มันถูกชะตากันน่ะครับ

     รัฐ: ส่วนตง เปลี่ยนแฟนไปคนนึงแล้ว (หัวเราะ)

     ตง: สิ่งที่เปลี่ยนไปมากคือน้ำหนักตัวครับ เมื่ออัลบั้มที่แล้วน้ำหนักประมาณ 70 ตอนนี้ 82 กิโลกรัม กินยับ

 

แล้วจริงไหมที่ว่าเพลง ‘เผด็จเกิร์ล’ มาจากประสบการณ์ชีวิตรักของพวกคุณจริงๆ

     ดิม: จริงอยู่แล้วครับ นี่คือชีวิตที่พวกเราต้องเผชิญ สำหรับผมคงต้องร้องเพลงนี้สัก 200 รอบถึงจะกำลังพอดี คือเอาตรงนี้ไปลงได้นะครับ แต่ไม่ต้องบอกว่าดิมพูด (หัวเราะ) คือด้วยตัวผมเองที่เป็นคนชอบปาร์ตี้ แล้วก็เป็นคนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ฉะนั้นการจะทำให้ผมอยู่กับร่องกับรอยได้ มันก็คงต้องใช้อำนาจมืดอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังเจออยู่นี่แหละ ผมก็เลยต้องอยู่ภายใต้อำนาจสะกดของมันนี่แหละ คือถูกสะกดร่างเลวๆ ของตัวเองไว้ เฮ้ย ขึ้นว่ะ ไอ้สัตว์!

 

 

ตกลงดิมเป็นคนกลัวแฟนเหรอ ดูจากบุคลิกไม่น่าเชื่อเลยนะ

     จั๊ม: ไม่หรอก ผมว่ามันให้เกียรติ  

     ดิม: โอ๊ย เรารู้แหละว่าทำอะไรแล้วมีปัญหาเราก็อย่าไปทำ

     จั๊ม: อ้าว แล้วตอนที่ไม่อยู่กับแฟนล่ะ ทำยังไง

     ดิม: โอ๊ย ตอบไปก็ลงไม่ได้สิ (หัวเราะ) กูไม่ได้โง่นะไอ้จั๊ม กูจบปริญญาตรีมานะ คือบางทีเวลามีอะไรผมจะเอาไปเล่าให้ไอ้รัฐฟังไง แล้วมันก็จะบอกกลับมาว่า มึงจะบ่นอะไรหนักหนาเรื่องแฟนมึงเนี่ย แล้วที่บ่นที่บอกกูมาเนี่ย สุดท้ายแล้วสิ่งที่มึงคิดอยู่เนี่ย มึงได้เอาไปทำอะไร หรือได้พูดอะไรกับเขาไหม ผมบอกว่าเปล่า กูไม่ได้พูด แล้วกูก็ไม่ได้ทำ (หัวเราะ) กูถึงเอามาระบายกับมึงนี่แหละ มึงมันเป็นจิตแพทย์ส่วนตัวของกู มันก็เลยเกิดเป็นเพลง เผด็จเกิร์ล ขึ้นมา แล้วมันก็ใส่ในส่วนของมันเองมาบ้าง

     รัฐ: ความจริงมันก็มาจากเรื่องราวของคนรอบข้างหลายคน ความจริงเวลาผู้ชายอยู่ด้วยกัน การนินทาแฟนมันสนุกนะ

     ดิม: เก่งทุกคนน่ะ แต่พอเวลากลับไปอยู่กับแฟนนะ โถ ไอ้คนเก่ง ตอนอยู่กับเพื่อนหายไปไหนแล้ววะไอ้สัตว์

     รัฐ: แล้วพอบรรยากาศแบบนั้นมันสนุก เราก็เลยอยากจะเขียนเพลงแซวผู้หญิง แล้วด้วยความที่ผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ เลยจะได้เกร็ดความรู้ที่ทำให้รู้สึกว่าพวกเรานี่มันเกิดผิดยุคจริงๆ เพราะถ้าเราเกิดสมัยก่อน เราจะมีเมียกี่คนก็ได้ คือมีเมีย 4-5 นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่โอเค ยอมรับได้ แต่พอเป็นยุคสมัยนี้ เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว จะมีคนรักเราต้องมีคนเดียว เท่านั้นยังไม่พอ มันยังใหญ่กว่าเราอีก มันก็เลยเกิดเป็นไอเดียว่าอยากจะเขียนแซวผู้หญิงเรื่องนี้

     ตง: แป๊บนึงนะครับ (กำลังแชต) มีคนที่มีแฟนแล้วไม่กลัวแฟนด้วยเหรอครับ

     ดิม: เออ มึงอย่าคิดว่าคนอื่นเขาเป็นแบบตัวเองสิ

     รัฐ: พี่เล็ก Greasy Café ยังกลัวเลย

     ดิม: โอ้โห ตัวหนักเลย

     รัฐ: เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จเกิร์ล

     (หัวเราะกันทั้งวงสนทนา)

     ดิม: นี่มึงเอานามสกุลเขามาเล่นเลยเหรอ

     รัฐ: สำหรับผมนะ บางเรื่องต่อให้ถูกแทบตาย แต่สุดท้ายเราก็ผิด คือเราคิดว่าเหตุผลเราถูกแล้ว เช่น เราทำอย่างนี้ เรามาตรงนี้เพราะเรื่องงานนะ แต่พอบอกไป ผู้หญิงเขาก็จะมีอีกด้านหนึ่งมาหักล้างเหตุผลของเรา เช่น มึงบอกว่าไปทำงาน แต่เดี๋ยวสุดท้ายมึงก็เมา …ยิ่งถ้าถามกลับมาต่อ ‘ใครไปบ้าง’ บอกไปว่า ‘ดิม’… โอ้โห จบแล้ว แค่พูดชื่อแรกมึงก็ผิดแล้ว (หัวเราะ)

 

แสดงว่าภาพพจน์ดิมในสายตาแฟนเรานี่ติดลบสุดยอดมาก

     รัฐ: ไม่ใช่เฉพาะแฟน รวมถึงพ่อแม่ผมด้วย

     ดิม: ขอบคุณพ่อแม่มึงด้วยที่คิดกับกูขนาดนี้นะ

     รัฐ: เอาจริงๆ แล้วนะ คือบางเรื่องที่เราเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านหรือในการใช้ชีวิต เราคิดว่าที่ทำไปมันถูกต้องแล้ว แต่บางทีเรากลับต้องไปทำตามเขา ทั้งที่บางทีสิ่งที่เขาให้เราทำตามมันอาจจะผิดด้วยซ้ำ คือบางทีทะเลาะกันจนเหนื่อยแล้ว งั้นก็ยอมไปแล้วกัน สุดท้ายเขาก็ชนะเราอยู่ดี

     ดิม: ส่วนผมคือช็อตเลือกแว่นสีเหลืองกับแว่นสีชมพูในมิวสิกวิดีโอ เผด็จเกิร์ล ผมเคยมีประสบการณ์ตรง สมมติผมเลือกแว่นสีเหลือง เขาเลือกแว่นสีชมพู ถ้าใส่รายละเอียดเรื่องเพิ่ม โอ้โห แว่นเหลืองมันไม่ดี ใส่แล้วหน้ามันอ้วน โอเค เราบอกกลับไปว่างั้นแว่นชมพู “แต่แว่นชมพูทรงมันไม่สวยเท่าแว่นเหลือง” …เอาแล้วไอ้เหี้ย ใจเต้นตุบๆ ตกลงกูควรเลือกอันไหนดีวะเนี่ย เอ้า งั้นซื้อแว่นเหลือง! จ่ายสตางค์ออกมากลายเป็นแว่นชมพู

     ตง: (ง่วนอยู่กับแชตในสมาร์ตโฟนตลอดเวลา) นี่ไง มันกำลังด่าผมอยู่เนี่ย เอาเรื่องนี้เลยไหม แฟนผมเขาบอกว่ามานวดอยู่แถวนี้ พอนวดเสร็จแล้วเดี๋ยวมาหาได้ไหม เราก็เลยบอกไปว่ามาได้ มาสิ อยู่ที่ตึกนี้นะ อยู่ชั้น 3 เดินขึ้นมาเลย กำลังคุยกันอยู่ พอบอกไปสักพักนางก็ไลน์มาบอกว่ายืนอยู่ข้างหน้าตึกแล้ว แต่ไม่กล้าขึ้นไป เราก็บอกให้เข้ามาเลย แล้วรออยู่ตั้งนานว่าทำไมไม่เข้ามาสักที เราเลยถามกลับไปว่าอยู่ไหนแล้ว เขาก็บอกว่า เนี่ย อยู่หน้าห้องตั้งนาน ตอนนี้ลงไปข้างล่างแล้ว เอายังไงกันแน่ ขึ้นๆ ลงๆ มา 3 รอบแล้ว… อ้าว ตกลงเป็นความผิดกูเหรอ ก็บอกว่าให้เปิดประตูเข้ามาเลย (หัวเราะทั้งวง) แล้วยังบอกอีกว่าเนี่ย พอมาหาก็กลายเป็นภาระ ขอโทษด้วยนะ ต่อไปเราจะไม่มากวนงานเธอแล้ว

 

ปิดท้ายก่อนจากกัน ลองแนะนำเพลงในอัลบั้ม สัตว์จริง จาก ‘เผด็จเกิร์ล’ สักคนละเพลงสิ ว่ามีเพลงไหนที่อยากแนะนำให้ลองฟังเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า

     ดิม: ผมอยากพูดถึงเพลง ‘รถไฟ’ ครับ เป็นเพลงที่ผมฟังครั้งแรกแล้วรู้สึกเลยว่าเพราะมาก ทั้งที่รัฐมันบอกผมว่ายังมีอีกเพลงหนึ่งที่เพราะกว่า ชื่อว่า รองเท้าเก่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าเพลงนี้เพราะกว่า รัฐก็ค้านกลับมาว่า เฮ้ย มึงฟังยังไง เพลง รองเท้าเก่าเพราะว่า แต่ผมก็ยืนยันว่ากูชอบเพลง รถไฟ ถามต่อไปอีกว่าแล้วเพลงนี้ใครจะร้อง รัฐบอกว่ามันจะร้อง แต่ผมขอว่ากูอยากร้อง สุดท้ายมันก็ยอม แต่บอกอีกว่า แต่มึงต้องทำการบ้านมาส่งกูด้วยนะ มึงต้องมาร้องให้กูฟังก่อน ฉะนั้นผมก็เลยอินกับเพลงนี้มาก รู้สึกเลยว่าตัวเองเจอรักแรกพบกับเพลงนี้

     รัฐ: คือมันไม่ได้จะหวงไว้เพราะอยากจะร้องเองนะครับ ความจริงผมขี้เกียจร้องอยู่แล้วแหละครับ แต่เพลงนี้มันยากจริงๆ ที่บอกว่ายากไม่ได้หมายถึงอารมณ์ของเพลงมันยาก แต่หมายถึงว่าตัวโน้ตต่ำ-สูงมันห่างกันเยอะ ผมเลยบอกดิมไปว่าจะร้องก็ได้ แต่ต้องทำการบ้านมาอย่างหนักเลยนะ เพราะผมรู้สึกว่าเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ รถไฟ เป็นเพลงที่ร้องยากสุด

     แต่ส่วนตัวผมชอบเพลง หลับลึก เพราะสำหรับผม เพลงนี้มันคือเพลงที่ตั้งใจจะใส่ไว้ในแทร็กแรกของอัลบั้มเลยนะ เป็นเพลงที่บอกถึงภาพรวมของอัลบั้ม เป็นเพลงที่ทำขึ้นมาเป็นเพลงแรกๆ ของอัลบั้ม แต่กลายเป็นเพลงที่เสร็จเป็นเพลงสุดท้าย เพราะผ่านการแก้ทำนองมาเยอะ แก้เนื้อเพลงมาเยอะมาก แม้แต่ชื่อเพลงยังเสร็จเป็นเพลงสุดท้ายเลย สำหรับผมมันเลยเป็นเพลงที่อยู่คู่กับอัลบั้มนี้มาตลอดการเดินทาง และเป็นตัวแทนของอัลบั้มนี้

     ตง: ผมว่าเพลง ‘เนรมิตเอง’ เนื้อเพลงมันช่างฝันดีครับ ดูไม่แคร์โลก คือกูรักมึง แต่มึงไม่รักกู นั่นก็เรื่องของมึง แต่กูจะยังรักมึงนะ

 

เนื้อหาตรงกับชีวิตจริงไหมครับ

     ตง: ถ้าชีวิตจริงต้อง เผด็จเกิร์ล แล้วล่ะครับ หรือตอนนี้กูสู้อะไรมันไม่ได้เลย (หัวเราะ) ตกลงว่านี่กูผิดอะไร กูมานั่งสัมภาษณ์เฉยๆ ก็ผิดได้

 

เอาลงไปแบบนี้เขาจะไม่โกรธเอาเหรอ  

     ตง: เอาลงไปเหอะครับ มาถึงขนาดนี้แล้ว

     รัฐ:  ลงไปเถอะครับ ผมว่าถ้าเขาได้อ่าน เขาน่าจะชอบ

     ดิม: คือการพูดถึงแฟนผ่านสื่อเนี่ย จะมุมดีหรือไม่ดี มันชอบหมดแหละ เพราะนั่นแสดงว่าเรายอมรับว่ามีแฟนไง เมื่อวันก่อนสื่อมาสัมภาษณ์ผม ถามว่าคบกับแฟนมา 7 ปีแล้ว กลัวอาถรรพ์ที่เขาว่าต้องเลิกกันไหม ผมบอกว่าไม่กลัวอาถรรพ์เลย ผมกลัวมันมากกว่า (หัวเราะ) ฉะนั้นอาถรรพ์ 7 ปีเป็นเรื่องขี้ๆ เผลอๆ กูอาจจะต้องการอาถรรพ์มากกว่าด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ตรงนี้ไม่ต้องเอาลงนะครับ!

FYI
  • นอกจากจั๊มจะเป็นนักดนตรีคนเดียวในวงที่ยังโสด แต่เป็นโสดแบบแอดวานซ์ระดับที่ตั้งแต่เกิดมา จั๊มยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยในชีวิต เขาให้สาเหตุที่ยังครองตัวเป็นโสดมาตลอดว่าเป็นเพราะความช่างเลือกของตัวเอง ตอนนี้เขาก็เลยชินกับการเป็นผู้ชายโสดไปแล้ว  
  • มิวสิกวิดีโอเพลง ‘เผด็จเกิร์ล’ (กำกับโดย เบนซ์-นิษฐกานต์ แก้วปิยสวัสดิ์) เป็น มิวสิกวิดีโอเพลงแรกของ Tattoo Colour ที่ไม่มี 4 สมาชิกอยู่ในฉากเลยแม้แต่ช็อตเดียว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X