×

4 หนุ่มวง MEAN ประสบการณ์ ‘ทุบหม้อข้าว’ เพื่อออกไล่ล่าความฝัน

04.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • วง MEAN คือการรวมตัวกันของสมาชิกวง TU Folksong มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเริ่มต้นจากปาล์ม พัด และกัน ร่วมกันทำวงในชื่อ Circle Square ก่อนจะได้โปเต้มาเป็นนักร้องนำในตอนหลัง
  • พวกเขาเป็นคนหนุ่มที่มีฝันว่าอยากมีอัลบั้มเพลงอย่างมาก แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จสักที วิธีการสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นศิลปินกลุ่มใหม่ของ LOVEiS คือการวางแผนวอล์กอินเข้าไปออดิชันตามค่ายเพลงต่างๆ แบบเล่นดนตรีให้ดูภายในวันนั้น โดยจะไม่ทิ้งเดโมไว้ที่ค่ายเด็ดขาด ที่เซอร์ยิ่งกว่านั้นคือความจริงแล้ว LOVEiS ไม่ได้อยู่ในแผน แต่เพราะเป็นทางผ่านระหว่างไปค่ายเพลงเป้าหมาย พวกเขาก็เลยแค่กะจะลองแวะเข้าไปสักหน่อย
  • เซอร์ยิ่งกว่านั้นคือบอย โกสิยพงษ์ ไม่อยู่เมืองไทย แต่หลังจากได้ดูคลิปเล่นดนตรีที่ทีมงาน LOVEiS ถ่ายไว้ บอยก็ตัดสินใจนัดคุยงานกับทั้ง 4 คนทันที ก่อนจะกลายเป็นศิลปินเบอร์ใหม่ล่าสุดของค่าย

     เรื่องเล่าเกี่ยวกับความสำเร็จของวงดนตรีมากมายลอยอยู่เกลื่อนจนคนหนุ่มอย่างพวกเขาอยากจะทำให้สำเร็จดูบ้าง แต่โลกความฝันกับโลกความจริงที่พบนั้นต่างกันแบบสิ้นเชิง พวกเขาลุยทำ ลองผิดลองถูก วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา เคยผ่านจุดที่ท้อแท้ แต่ก็เพราะไม่ยอมปล่อยให้ก้อนความฝันหนักๆ จมลงไปนี่แหละ สุดท้ายแฟนเพลงถึงได้ทำความรู้จักกับเพลง อ่อนแอก็แพ้ไป ของ 4 หนุ่มวง MEAN ศิลปินใหม่แกะกล่องจากค่าย LOVEiS ในที่สุด

 

แถวบน: โปเต้และกัน

แถวล่าง: พัดและปาล์ม

 

ยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ่ ความตั้งใจเด็ดเดี่ยว วันที่พวกเขาตัดสินใจทุบหม้อข้าว ลุยกับความฝัน  

     ปาล์ม: ความฝันของผมคืออยากทำทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรี ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนให้โอกาสทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์ โฆษณา รายการโทรทัศน์ ฯลฯ แต่พาร์ตการเป็นศิลปินที่มีผลงานของตัวเอง ผมยังไม่เคยไปจนถึงจุดนั้นสักที ผมรู้สึกว่างานเพลงด้านอื่นๆ พออายุเยอะเรายังกลับมาทำได้ แต่การเป็นศิลปิน มันทำได้แค่ตอนนี้เท่านั้น

     ผมชอบดูคลิปสัมภาษณ์ศิลปินรุ่นพี่ที่เขาต้องทุ่มเทฝ่าฟันอุปสรรคจึงประสบความสำเร็จ ฟังคลิปอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ กรอกหูว่า ‘มึงมันกระจอก มึงมันกระจอก’ ทุกวันก็ยิ่งฮึด เอาวะ ไปบิลด์เพื่อนๆ คนอื่นให้หยุดรับงานแล้วมาทำเพลงอย่างเดียว แล้วหลังจากนั้นชีวิตก็เละเทะเลย (หัวเราะ)

     พัด: เราได้ยินหลายๆ คนรอบตัวในวงการพูดเยอะมากว่าทำงานควบคู่กันไปสิ ซึ่งสิ่งที่เห็นคือส่วนใหญ่ที่ทำงานคู่กัน สุดท้ายเขาก็ต้องทิ้งดนตรีไป เพราะพออายุมากขึ้น เมื่อต้องเลือก เขาต้องเลือกทางที่สามารถรับผิดชอบชีวิตได้จริงๆ ซึ่งอาชีพนักดนตรี ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ มันจะตอบโจทย์ตรงนี้ไม่ได้

     พวกเราก็เลยตัดสินใจหักดิบกัน ทุบหม้อข้าว แต่งเพลงทุกวัน เล่นดนตรีทุกวัน แต่ผ่านไป 3 ปีก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

     กัน: ตอนนั้นพวกเราทำเองทุกอย่าง ลงทุนกันคนละ 3-4 หมื่น โปรโมตเอง จ่ายค่าพีอาร์เอง เดินสายกันเอง จนไปถึงจุดที่รู้สึกว่าเราอ่อนต่อวงการมาก เราคิดได้แค่ว่าอยากปล่อยเพลงออกไปให้คนฟัง แต่ไม่รู้เลยว่าเงินจะเข้ามาจากทางไหนได้ ครั้งหนึ่งเคยคิดว่ายอดวิวเยอะแล้วจะสำเร็จ สุดท้ายก็ไม่ใช่ ยิ่งทำไปก็ยิ่งมองไม่เห็นคำตอบ ลงท้ายเลยคิดว่าไม่เอาแล้วดีกว่า

     พัด: พวกเราเคยคิดกันไว้ตั้งแต่แรกว่าถ้าเงินก้อนนั้นหมด เราคงกลับมารับงานเหมือนเดิม แต่ก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างว่า ‘มึงยังทำไม่เต็มที่เลย กระจอกว่ะ’ เสียงอาจารย์เฉลิมชัยมาอีกแล้ว (หัวเราะ) ถ้าหยุดตรงนี้ เราคงติดค้างไปตลอดชีวิต ก็บอกเพื่อนๆ ว่ายังอยากทำเพลงอยู่ ขอลองอีกสักครั้ง ตอนนั้นเราต้องหานักร้องใหม่พอดี แล้วปาล์มก็นัดโปเต้มาลองซ้อมกันอีกรอบ

 

 

หม้อข้าวหม้อสุดท้าย ก่อนย้ายมาฝากท้องกับครอบครัว LOVEiS

     โปเต้: ต้องเล่าก่อนว่าผมเคยประกวด AF8 แต่เป็นเซตที่ไม่ได้เข้าบ้าน (ปีนั้นคัดเข้าบ้าน 24 คน แล้วค่อยคัดเหลือ 12 คนในสัปดาห์ที่หนึ่ง) พอจบมาก็โชคดี ยังได้รวมโปรเจกต์กับเพื่อน AF เป็นวง One Way Ticket ตอนนั้นปาล์มก็มาชวนให้ทุบหม้อข้าวด้วยกัน (หัวเราะ) ผมอยากไปนะ แต่ยังไปไม่ได้ เพราะติดงานตรงนั้นอยู่ แล้วพอโปรเจกต์ One Way Ticket จบลงไป ชีวิตก็แย่ลงเรื่อยๆ

     เคยไปเป็นนักแต่งเพลงของค่ายแล้วก็โดนเลย์ออฟไปทำงานเป็นนักเขียนนิตยสารสัตว์ฉบับหนึ่ง แม่เคยให้กลับบ้านไปเป็นพนักงานบิ๊กซีที่นครปฐม เกือบได้ทำแล้วด้วย (หัวเราะ)

     จนกระทั่งปลายปีที่แล้วปาล์มมาชวนอีกครั้ง ตอนนั้นก็คิดหนักอีก เพราะเราทำนิตยสารเล็กๆ ที่มีแต่เพื่อนๆ ทำด้วยกัน ถ้าผมลาออก งานก็ต้องไปกองกับคนอื่น แต่พอไปคุยกับเพื่อน กับหัวหน้า ทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายหัวหน้าพูดออกมาว่า “ออกไปในทำในสิ่งที่ชอบเถอะ” เขาเห็นมาหลายคนแล้วที่ทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบไป สุดท้ายก็ไม่เวิร์ก

     หลังจากนั้นผมเลยตัดสินใจลาออกแล้วมาลุยกับวง MEAN เต็มตัว เพราะถ้ายังทำงานอยู่ก็รู้สึกว่าไม่แฟร์กับคนในวง เพราะจะซ้อมกันตอนบ่ายตามปกติก็ไม่ได้ ต้องรอผมเลิกงาน กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงก็ 6 โมงเย็น พอเห็นทุกคนทุ่มเทกันหมด เราเลยอยากลองทุ่มเทกับเขาจริงๆ ด้วย

     กัน: พอเริ่มมาซ้อมกัน พูดคุยกัน แล้วเห็นว่ารอบนี้ทุกอย่างมันกำลังไปได้ดี รู้สึกว่าเราไม่ได้เล่นดนตรีแบบนี้มาโคตรนานแล้ว ก็เริ่มมองหาจุดต่อไปของวง คือตอนนั้นหม้อข้าวของพวกเราแตกหมด ต้องหารายได้มาเติมแล้ว ก็คิดว่าจะไปออดิชันที่ร้านก่อน

     ปาล์ม: ผมคิดขึ้นมาว่าถ้าไปออดิชัน 1 ร้าน เราก็เล่นได้แค่ 1 ร้าน แต่ถ้าเราไปอยู่ที่ค่ายเพลง 1 ค่าย เขาจะสามารถหาร้าน หาเวทีให้เราเล่นได้อีกเยอะ ก็เลยคุยกัน ซ้อม ลิสต์ค่ายเพลงทั้งหมดในประเทศไทย ขนเครื่องดนตรีใส่รถ แล้ววอล์กอินเข้าไปเพื่อขอเล่นเพลงให้ดู

 

 

     พัด: โดยการใช้วิธีโทรเข้าไปแล้วแกล้งบอกว่ารู้จักกับพี่คนนี้ พี่คนนี้แนะนำมา คือเรารู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเรา (หัวเราะ) แล้วก็ขอไปเล่นให้เขาดูเลย พวกเราตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ขอทิ้งเดโมไว้เด็ดขาด เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีคนอยู่ วันหลังค่อยมาใหม่ หรือมีครั้งหนึ่งแม่บ้านมาต้อนรับ เล่นให้แม่บ้านฟังก็ยังดี วันแรกไปประมาณ 3-4 ค่ายก็ไม่ได้ วันที่สองไปถึง LOVEiS ตอนเย็นๆ ใช้วิธีเดิม บอกเขาว่าพี่สายชล ระดมกิจ (คนดูแลศิลปิน LOVEiS) แนะนำมา เขาก็เงียบไปแล้วบอกว่า พี่สายชลเขาออกไปประมาณ 3-4 ปีแล้วครับ (หัวเราะ)

 

 

     ปาล์ม: แต่พวกเราก็ยังดื้ออยู่ จะขอเล่นให้ได้ เขาบอกว่าพี่บอย โกสิยพงษ์ ไปต่างประเทศ ก็ขออัดวิดีโอเอาไว้แล้วส่งให้พี่บอย ซึ่งโชคดีที่พี่บอยดูคลิปแล้วเขานัดพวกเราไปเจอเลยหลังปีใหม่ แล้วก็ได้เซ็นสัญญากับ LOVEiS วันที่ 17 มกราคม 2560 ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ถ้านับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจทุบหม้อข้าวกันมา

     โปเต้: จำได้เลยที่ไปคุยวันนั้น ทุกอย่างมั่วมาก ไปถึงไม่รู้เรื่องอะไร พี่บอยก็บอกว่า “ไหน โชว์ให้ป๋าดูหน่อย” พวกเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย ก็เล่นไป 3-4 เพลง เล่นก็มั่ว ร้องก็ไม่ค่อยดี เสร็จแล้วเราก็มานั่งคุยกันเรื่องสัญญา

     ผมเป็นแฟนของเบเกอรี่ มิวสิค อยู่แล้วก็เลยตื่นเต้น อยากอยู่ที่นี่มาก เลยถามพี่บอยไปว่า “สรุปว่าพี่เปิดบ้านรับผมแล้วใช่ไหมฮะ?” พี่บอยก็บอกว่า “เอาเลยฮะ มาถ่ายรูปร่วมกันหน่อย” แล้วพี่เขาก็ถ่ายรูปไปลงอินสตาแกรม พวกเรายังงงๆ อยู่เลยนะ พี่ๆ คนอื่นยังเดินมาบอกว่า เซ็นสัญญากับที่นี่แล้วมันเหมือนเป็นสัญญาตลอดชีวิตเลยนะ กลับไปคิดกันมาดีๆ ก่อนไหม (หัวเราะ)

 

 

ค่ายใหญ่กับความเข้าใจผิดของเด็กน้อย

     ปาล์ม: อย่างที่บอกว่าพวกเราอยู่กับความคิดที่ว่าต้องทำเพลงมาตลอด พอมีค่ายมาคอยดูแล ให้คำปรึกษาหรือแนะนำอะไรมา มันจะมีความคิดต่อต้านแวบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เช่น เอามือกลองคนนี้มาตี หรือเอาคนนี้มาช่วย ผมก็จะรู้สึกว่าไม่น่าจะเวิร์กหรอกอยู่ตลอดเวลา

     แต่มันก็จะมีอีกความรู้สึกมาค้านกับอย่างแรก คือเราเริ่มหมดพลังที่จะทำเองแล้ว กับอีกความรู้สึกคือถ้ามึงเชื่อตัวเองแล้วมันดี มึงต้องสำเร็จไปตั้งนานแล้วสิ ในขณะที่พี่บอยเขาอยู่ตรงนี้มากี่สิบปีแล้ว เขาทำงานมาตั้งเท่าไร แล้วมึงจะไปเถียงอะไรเขาได้วะ สุดท้ายก็วางตัวเองไว้ แล้วเชื่อที่พี่ๆ แนะนำ ซึ่งมันก็เวิร์กจริงๆ

     กัน: มันคือการได้ลองอะไรใหม่ๆ ด้วย ได้คนเก่งๆ อย่างพี่เควิน บิดเดิล (มือกลองวง The Begins) มาช่วยตีกลอง ได้พี่ไก่ (สุธี แสงเสรีชน) มาช่วยดูภาพรวม จำได้เลยว่าวันแรกที่พี่ไก่มาช่วยอัดเสียงร้อง ตอนกินข้าวยังนั่งคุยกันว่ามันดีจริงเหรอวะ แบบแรกที่ทำมาน่าจะดีกว่าอีก

     พัด: แต่มันคือวิธีการทำงานของพี่ไก่ที่เน้นฟีลลิ่งพวกเราให้ได้ก่อน แล้วแกจะไปปรับเรื่องโน้ต เรื่องเทคนิคต่างๆ ทีหลัง เพราะโปรแกรมคอมพิวเตอร์มันช่วยปรับเรื่องอารมณ์ไม่ได้ ซึ่งพอพี่ไก่เอากลับไปทำ กลับมาอีกรอบคราวนี้นิ้งเลย (หัวเราะ) หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่มีคำถามอะไรอีกเลย

     ปาล์ม: มันคือความอ่อนด้อยที่พวกเราเหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับวงการเพลงเลย กลายเป็นเพลงต่อไปพวกเรารีบรีเควสต์เลยว่า ขอพี่ไก่มาช่วยคุมเหมือนเดิมนะครับ (หัวเราะ)

 

 

ช่วงเวลาอ่อนแอที่ต้องเอาชนะ

     ปาล์ม: ของผมเป็นความรู้สึกที่ยังไม่สามารถเอาชนะได้ คือเป็นคนที่อีโก้จัดมาก ไม่กลัวอะไรเลย ทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจ แล้วพอไปถึงจุดที่คอนโทรลอะไรในชีวิตไม่ได้แล้ว พ่อแม่ไม่สนับสนุน เลิกกับแฟน แล้วกลายเป็นคนดาร์กมาก พอคนอื่นมาเข้าใกล้ก็จะดาร์กตามไปด้วย จนทุกอย่างเริ่มดีขึ้นตอนมาอยู่ที่ LOVEiS เริ่มเข้าใจเนื้อเพลง ‘อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน’ (เพลง Live and Learn – กมลา สุโกศล) เออ ที่ผ่านมาเราอยู่กับสิ่งที่ฝันมาตลอดเลย ตอนนี้เลยต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้มากขึ้นแล้ว

     กัน: ของผมช่วงก่อนที่วงจะเจอพี่เต้ ตอนนั้นวงแตกกระจาย ผมเลิกกับแฟนด้วย ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ไปยืมเครื่อง PlayStation 4 ของน้องมาเล่น แล้วก็หมกตัวอยู่ในห้อง เล่นเกมไฟนอล แฟนตาซี จบไป 4 ภาค ภาคละ 18 ชั่วโมง เหมือนเรายอมแพ้โลกแห่งความเป็นจริงแล้วก็หลบไปอยู่ในโลกของเกม ผ่านไปเกือบๆ เดือน จนรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เดินไปหยิบกีตาร์ที่วางอยู่มาเล่น แล้วก็เริ่มกลับมาแต่งเพลง โชคดีมากที่กลับออกมาจากโลกแห่งเกมได้ เป็นช่วงที่ชีวิตใกล้เคียงกับคำว่าแตกดับมากเลยนะ

     โปเต้: เป็นช่วงที่ไปฝึกงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ในสถาบันจิตเวชแห่งหนึ่ง แล้วก็มีปัญหาเรื่องความรักพอดี ทำงานไม่ได้ เครียด กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ มีรุ่นพี่แนะนำให้ไปพบจิตแพทย์ ซึ่งสุดท้ายผมก็ผ่านมาได้เพราะการพบจิตแพทย์นะครับ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย อยากฝากไว้เหมือนกันสำหรับคนที่มีปัญหา แต่กลัวที่จะไปพบจิตแพทย์อยู่ตอนนี้

     พัด: ของผมไม่ได้มีความรู้สึกอ่อนแอขนาดนั้น แต่จะมีบางช่วงที่รู้สึกว่า หรือจริงๆ แล้วเราไม่เกิดมาเพื่อเล่นดนตรีจริงๆ วะ เราอาจจะเหมาะกับการไปเป็นทนายตามสายที่เรียนมามากกว่าหรือเปล่า แต่สุดท้ายมันก็จะกลับมาได้ด้วยคำตอบที่ว่า การเล่นดนตรีมันยังเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขได้มากที่สุดอยู่ดี และเราก็ยังอยากให้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่เลี้ยงดูเราและครอบครัวได้คือสิ่งเดียวกัน

FYI

สมาชิก

โปเต้-ปิยะพงษ์ เล็กประยูร (ร้องนำ)

ปาล์ม-ปวีร์ ปรีชาวีรกุล (คีย์บอร์ด)

กัน-กันตพิชญ์ ยาวิราช (เบสและกลอง)

พัด-วรภัทร วงศ์สุคนธ์ (กีตาร์)

  • กันมีความคิดว่าอยากมีเงินเยอะๆ เลยเลือกเรียนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ โลจิสติกส์และการขนส่ง แต่เมื่อเรียนไปได้ไม่นานเขาก็ค้นพบว่าความสุขของเขามีเพียงอย่างเดียวคือการเล่นดนตรี จนกระทั่งวันที่เรียนจบจนถึงวันนี้ เขาก็ไม่เคยทำงานเฉียดเข้าใกล้กับเรื่องการเงินที่เรียนมาแม้แต่ครั้งเดียว
  • โปเต้เลือกเรียนคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เพราะคิดว่าน่าจะง่าย จากพื้นฐานที่เป็นคนชอบวิชาสังคม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักสังคมสงเคราะห์ต้องทำอะไรบ้าง ด้วยความประมาท เขาเลือกที่จะไม่ส่งงานในวิชาหนึ่ง เพราะคิดว่าอาจารย์จะใจดี จนสุดท้ายเขาเลยต้องใช้โควตานักศึกษา 6 ปี ซึ่งมากกว่าเพื่อนๆ ในคณะที่ปกติแค่ 3 ปีครึ่งก็จบแล้ว
  • พัดเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ แล้วก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาทำได้ดี เคยลองไปฝึกงานที่สำนักกฎหมาย และสอบตั๋วทนายมาแล้วเรียบร้อย แต่ระหว่างรอฟังผลสอบ เขารับเล่นดนตรีในงานแต่งงานแล้วคิดว่า ชีวิตที่ได้เล่นดนตรีให้คนอื่นฟังต่างหากคือสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข ก็เลยตัดสินใจเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางดนตรีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
  • ปาล์มเลือกเรียนคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน สาขาภาพยนตร์และภาพถ่าย เพราะความคิดเพียงอย่างเดียวคือ เขามีความฝันอยากเป็นคนทำเพลงประกอบภาพยนตร์ และเขาก็ได้รับโอกาสนั้นหลายครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจหยุดทำทุกอย่างเพื่อมาเล่นดนตรีเป็นอาชีพกับเพื่อนๆ อย่างเต็มตัว
  • อ่อนแอก็แพ้ไป คือเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมาใหม่ก่อนตัดสินใจแบกเครื่องดนตรีไปออดิชันกับค่ายเพลงต่างๆ ซึ่งพวกเขาใช้เวลาแต่งเพลงนี้แค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising