×

เปรี้ยงทุกซิงเกิล! อะไรทำให้ จัสติน บีเบอร์ กลายเป็นศิลปินตัวจริงและดังจนฉุดไม่อยู่ในปี 2017

09.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • ตั้งแต่ต้นปี จัสติน บีเบอร์ ได้เขยิบสเกลการเล่นคอนเสิร์ตในฮอลล์สู่สนามกีฬา ในคอนเสิร์ต ‘Purpose World Tour’ ที่ทำเงินไปเกือบ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • จัสตินอยากร้อง Despacito เพราะได้เห็นปฏิกิริยาคนฟังเพลงนี้ตอนไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งในประเทศโคลอมเบีย
  • แค่สัปดาห์แรกเพลง I’m the One ก็ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100
  • ความน่าสนใจของเพลง 2U คือการปล่อยออกมาพร้อมกับมิวสิกวิดีโอที่มีเหล่านางฟ้า Victoria’s Secret มาลิปซิงก์ระหว่างถ่ายแบบ

    

    

     ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หากเอ่ยชื่อ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) หลายคนอาจร้อง ‘อี๋’ เพราะพฤติกรรมส่วนตัวสุดห้าวและฉาวของนักร้องหนุ่มชาวแคนาดาคนนี้ ในขณะที่สื่อเองก็ดูจะสนุกกับการกดเขาให้จมดิน

     แต่หากเราคิดบวกและโฟกัสตัวตนของเขาในฐานะศิลปินคนหนึ่ง อาจพูดได้ว่าจัสตินคืออีกหนึ่งศิลปินตัวจริง

     จากเด็กชายอายุ 12 ปี ร้องเพลงตามถนนกับกีตาร์ตัวหนึ่งในเมืองสแตรทฟอร์ด (Stratford) ประเทศแคนาดา จนกระทั่งคลิปคัฟเวอร์เพลง So Sick ของ Ne-Yo เตะตาผู้ชมในยูทูบ ไม่นานหลังจากนั้นโดยไม่มีใครคาดฝัน จัสตินได้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการดนตรี และมีผลงานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีเรื่อยมา

     อัลบั้ม Purpose ในปี 2015 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของจัสตินในฐานะศิลปิน เพราะอัลบั้มนี้ทำให้คนหันมาสนใจเพลงของเขามากขึ้น (ถึงแม้บางคนจะแอบฟังอยู่บ้าน เพราะโพสต์ในเฟซบุ๊กอาจดูไม่ฮิป) โดยเฉพาะเพลง Sorry และ Love Yourself ที่เอ็ด ชีแรน แต่งเนื้อร้อง อาจพูดได้ว่า Purpose เป็นอัลบั้มที่ลบคำสบประมาท และแสดงเห็นให้ถึงก้าวย่างที่มั่นคงของจัสตินในฐานะศิลปิน

 

 

     และปี 2017 ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งปีทอง (หรืออาจต้องเรียกว่า ‘ปีแพลทินัม!’) เพราะตั้งแต่ต้นปี จัสตินได้เขยิบสเกลการเล่นคอนเสิร์ตจากฮอลล์สู่สนามกีฬาในคอนเสิร์ต ‘Purpose World Tour’ ที่ทำเงินไปแล้วเกือบ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีผู้ชมมากกว่า 2 ล้านคน ความสำเร็จระดับนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และในด้านหนึ่งน่าจะเป็นจุดชี้ชัดว่าศิลปินคนใดจะได้ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘ตำนาน’

 

 

     ในขณะที่เพลงในปีนี้ทั้ง 3 เพลงที่ปล่อยออกมา บอกได้คำเดียวว่า ‘ฉลาด’ ซึ่งน่าจะได้อานิสงส์จากมันสมองของ Scooter Braun ผู้จัดการของเขา (ซึ่งเป็นผู้จัดการของ อารีอานา กรานเด และช่วยดูแลการโปรโมตนักร้องสาวเกาหลี CL ในอเมริกา) เป็นคนวางหมาก ที่เน้นการฟีเจอริงกับศิลปินที่มีแนวดนตรีและกลุ่มตลาดที่แตกต่างกัน

 

 

     เพลงแรกที่จัสตินปล่อยออกมาคือเพลงป๊อปละตินอย่าง Despacito ฉบับรีมิกซ์ (16 เมษายน) เวอร์ชันออริจินัลร้องโดย Luis Fonsi และ Daddy Yankee ซึ่งเป็นเพลงที่โด่งดังสุดๆ ในประเทศแถบอเมริกาใต้ ส่วนเหตุผลที่ทำให้จัสตินอยากร้องเพลงนี้ เกิดจากการได้ไปเที่ยวคลับแห่งหนึ่งในประเทศโคลอมเบีย แล้วจัสตินได้เห็นปฏิกิริยาของผู้คนเมื่อเพลงนี้ดังขึ้น โดยในเวอร์ชันรีมิกซ์ จัสตินได้เพิ่มท่อนภาษาอังกฤษ แต่ยังคงเก็บคอรัสภาษาสเปนเอาไว้ หากคุณเป็นแฟนตัวยงจะรู้ว่า นี่คือเพลงแรกที่จัสตินขับร้องเป็นภาษาสเปน!

     เพลงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด เพราะภายในวันเดียวมีคนฟังเพลงนี้ในยูทูบเกือบ 20 ล้านครั้ง และขณะนี้กำลังทะยานสู่ 300 ล้านวิว อีกทั้งยังฮิตติดอันดับหนึ่งใน Billboard Hot 100 ในอเมริกา และอีกหลายประเทศทั้งสวีเดนและนอร์เวย์ รวมถึงนักวิจารณ์หลายสำนัก เช่น Time ต่างชื่นชมและจัดให้เป็นเพลงประจำซัมเมอร์ปี 2017 พร้อมกับเพลง I’m the One (ซึ่งเป็นเพลงที่เราจะพูดถึงในลำดับถัดไป)

 

 

     I’m the One คือเพลงที่สองที่ปล่อยออกมาติดๆ กัน (28 เมษายน) เพลงนี้เป็นของ DJ Khaled ที่จัสตินฟีเจอริงร่วมกับ Quavo จากวง Migos, Chance the Rapper และ Lil Wayne เป็นเพลงสไตล์ฮิปฮอป-ป๊อปจังหวะสนุกๆ ที่ชวนให้นึกถึงเพลงฮิปฮอปโอลด์สคูลยุค 90s และต้นปียุค 2000s ที่เหมาะจะเป็นเพลงประจำซัมเมอร์ปี 2017

     จัสตินตัดสินใจมาร้องเพลงนี้หลังจาก DJ Khaled (ที่โด่งดังสุดๆ บนแพลตฟอร์ม Snapchat และเป็นเพื่อนจัสตินมานาน) เอาเดโมเพลงไปให้จัสตินฟังที่บ้านในลอสแอนเจลิสช่วงมกราคมที่ผ่านมา ทั้งสองเปิดเพลงนี้นั่งฟังในรถกระบะ สุดท้ายจัสตินตอบตกลงว่าจะร้องเพลงนี้ให้

     I’m the One ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยพร้อมกับมิวสิกวิดีโอ แค่สัปดาห์แรกก็ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 ทันที และกลายเป็นเพลงที่ 4 ของจัสตินจากอัลบั้ม Purpose ที่ขึ้นอันดับหนึ่ง (หลังจากเพลง What Do You Mean?, Sorry และ Love Yourself) นอกจากนี้ จัสตินยังหวนกลับมาร่วมเล่นมิวสิกวิดีโออีกครั้ง หลังจากเล่นครั้งสุดท้ายในมิวสิกวิดีโอ What Do You Mean? ในปี 2015

 

 

     ล่าสุดวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา จัสตินก็เพิ่งได้ปล่อย 2U ออกมาสดๆ ร้อนๆ โดยเพลงนี้จัสตินทำงานร่วมกับ David Guetta ดีเจระดับแถวหน้าชาวฝรั่งเศส และเขียนเพลงนี้คู่กับนักแต่งเพลงคู่ใจอย่าง Jason Boyd หรือที่ใช้นามแฝงว่า ‘Poo Bear’ ที่เคยแต่งเพลงให้จัสตินในเพลง Where Are Ü Now และ Company เป็นต้น

     เพลงนี้มีความน่าสนใจที่ปล่อยออกมาพร้อมมิวสิกวิดีโอที่มีเหล่านางฟ้า Victoria’s Secret มาลิปซิงก์ระหว่างถ่ายแบบ ซึ่งก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าจะช่วยให้เพลงนี้ฮิตติดชาร์ตตาม 2 เพลงที่ปล่อยออกมาในปีนี้ เพราะฐานลูกค้าของ Victoria’s Secret กับแฟนเพลงจัสตินน่าจะมีบางจุดที่เป็นจุดร่วมกัน แถมเพลงที่จัสตินทำร่วมกับดีเจต่างๆ ที่เคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพลาดที่จะขึ้น Top 10 ไม่ว่าจะเป็นเพลง Let Me Love You กับ DJ Snake และ Cold Water กับ Major Lazer

 

 

     ดูเหมือนว่าปีนี้ (ในครึ่งปีแรก) ไม่ว่าจัสตินจะทำอะไรก็ดังเปรี้ยงปร้าง จัสตินและทีมงานของเขาใช้กลยุทธ์อะไร?

     ต้องชื่นชมก่อนว่าแต่ละเพลงที่จัสตินเลือกปล่อยออกมาต่างมีคอรัสที่ติดหูและร้องตามได้ง่าย จึงไม่น่าแปลกใจถ้าในอนาคตเราจะเห็นคนร้องเพลง Despacito แบบสุดพลังในร้านคาราโอเกะ

     อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือแม้แต่ละเพลงจะมีรากฐานความเป็นเพลงป๊อปที่เปิดตามคลื่นวิทยุ Top 40 แต่จัสตินฉลาดเลือกร้องเพลงที่จะขยายชื่อเสียงของเขาในตลาดเพลงใหม่ๆ หากคุณเปิดคลื่นวิทยุเพลงฮิปฮอป คุณก็จะเจอเพลง I’m the One ถ้าเปิดช่องเพลงละตินก็เจอ Despacito และถ้าเปิดช่อง EDM ก็เจอ 2U

     กลยุทธ์การออกเพลงของจัสตินก็เป็นเหมือนเทรนด์ใหม่ที่เปลี่ยนสมรภูมิวงการดนตรีที่ศิลปินไม่ต้องปล่อยแต่อัลบั้มอย่างเดียว แต่จะมีเพลงใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้กระแสหายไป ซึ่งก็เหมือน นิกกี้ มินาจ ที่ในช่วงนี้มีเพลงออกมาประมาณ 5 เพลง ที่ไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้มเดียว แต่กระจายออกไปทั้งใน Mixtape หรือไปร้องฟีเจอริงให้คนอื่นเหมือนที่จัสตินทำกับ 3 เพลงที่ปล่อยออกมา

 

 

     แต่อะไรๆ ก็คงสู้พลังมหาศาลของเหล่าแฟนคลับตัวยงของจัสตินที่เรียกว่า Beliebers ที่อยู่คู่กับจัสตินมาตั้งแต่เพลง One Time จนถึง 2U จัสตินมีคอนเน็กชันบางอย่างกับแฟนคลับคล้ายกับเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่จะปล่อยเพลงอะไรออกมา หรือชีวิตเจอมรสุมอะไรก็ตามแต่ แฟนคลับก็ยังคงสนับสนุน ซึ่งก็คงไม่แปลกหากในปีที่ผ่านมาจัสตินแทบจะไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อใด แต่เลือกจะ Live บน Instagram เพื่อสื่อสารโดยตรงกับแฟนเพลงของเขา

 

     การมาถึงจุดนี้ได้ของจัสติน บีเบอร์ ถือว่าเยี่ยมยอด เพราะเราได้เห็นศิลปินคนหนึ่งที่ผ่านอะไรมามากมาย อาจเคยหลงทางเพราะพิษภัยของวงการบันเทิง โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่แค่ลงแคปชันในโซเชียลมีเดียก็อาจถูกตีค่าได้ทันที ท่ามกลางเส้นทางที่เขากำลังพยายามทำในสิ่งที่รักและมีความสุขไปด้วย

     ใช่, ‘รัก’ และ ‘มีความสุข’ แค่นี้ก็พอแล้ว

 

 

Photo: Justinbieber/Facebook.com

อ้างอิง:

 

 

 

FYI

จัสตินเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์ Billboard Hot 100 ที่มีเพลงขึ้นอันดับหนึ่ง 2 เพลงติดกันในช่วง 2 สัปดาห์ เริ่มด้วย I’m the One เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม และ Despacito เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising