×

ถอดรหัสวิวัฒนาการทางดนตรีของบริตนีย์ สเปียร์ส และใครคือไอดอลตัวจริงของเธอ

05.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • กลไกสำคัญในความสำเร็จของบริตนีย์ สเปียร์ส ต้องยกให้โปรดิวเซอร์มือฉมังชาวสวีเดนอย่าง แมกซ์ มาร์ติน
  • อัลบั้ม Blackout ที่ปล่อยออกมาในปี 2007 นักวิจารณ์เพลงต่างชื่นชมและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของบริตนีย์
  • หลายคนจะชอบเอาบริตนีย์ไปเปรียบเทียบกับมาดอนนา แต่ถ้าศึกษาดีๆ เราจะเห็นว่าแรงบันดาลใจสำคัญของบริตนีย์คือ เจเน็ต แจ็กสัน

 

     หากคุณเสิร์ชในกูเกิลว่า 90s Music ทางเว็บจะมีการจัดลำดับลิตส์เพลงออกมาให้ทันที โดย …Baby One More Time ของบริตนีย์ สเปียร์ส ที่ปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลแรกในปี 1998 ติดหนึ่งในสาม ควบคู่กับ Waterfalls ของ TLC และ Smells Like Teen Spirit ของ Nirvana สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าเกือบสองทศวรรษในวงการ เธอยังคงเป็นศิลปินที่มีบทบาทสำคัญและยังไม่เลือนหายไปไหน พร้อมยอดขายอัลบั้มที่ทะลุ 100 ล้านแผ่นทั่วโลก และตารางทัวร์คอนเสิร์ตที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ
     แต่การจะมาถึงจุดนี้และเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางดนตรีไม่ใช่เรื่องง่าย เธอต้องอาศัยทั้งพรสวรรค์ ความมุมานะ โชค รวมทั้งการเรียนรู้ที่จะเล่นเกมของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ นั่นคือการทำให้คนยังต้องการเห็นผลงานอย่างต่อเนื่องและเห็นถึงพัฒนาการ

 


โปรดิวเซอร์คู่บุญตั้งแต่ปี 1998
     กลไกสำคัญในความสำเร็จของ บริตนีย์ สเปียร์ส ต้องยกให้โปรดิวเซอร์มือฉมังชาวสวีเดนอย่างแมกซ์ มาร์ติน (Max Martin) ที่ทุกวันนี้ได้กลายเป็นมือหนึ่งในวงการเพลงป๊อป โดยมีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 ในอเมริกามากกว่า 22 เพลง (ล่าสุดคือเพลง Can’t Stop The Feeling! ของจัสติน ทิมเบอร์เลก)
     แมกซ์เริ่มทำเพลงกับบริตนีย์ตั้งแต่อัลบั้มและซิงเกิลแรกอย่าง …Baby One More Time พร้อมกับเพลง (You Drive Me) Crazy ที่เป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง Drive Me Crazy ในปี 1999

 

 

     ในอัลบั้มถัดมา Oops!…I Did It Again ในปี 2000 ที่เปิดตัวด้วยยอดขาย 1.3 ล้านแผ่นในอเมริกา (ซึ่งสูงสุดตลอดกาลสำหรับนักร้องผู้หญิงในตอนนั้น ก่อนที่อัลบั้ม 25 ของอะเดล จะทุบสถิติในปี 2015 กับยอดขาย 3.38 ล้านแผ่น) แมกซ์ก็ยังได้ทำเพลงที่เราคุ้นหูทั้ง Lucky, Stronger และ Oops!…I Did It Again โดยยังคงกลิ่นอายทีนป๊อปใสๆ สูตรเดิม พร้อมคอรัสที่ติดหูและร้องตามได้ง่าย

 

แมกซ์กับบริตนีย์

 

     พอเข้าอัลบั้มที่สาม Britney ภาพลักษณ์ของบริตนีย์ก็เริ่มวาบหวิวขึ้น เธอได้แทรกจังหวะอาร์แอนด์บีและฮิปฮอปไปในบทเพลง อย่างในซิงเกิลแรก I’m a Slave 4 You โดยเนื้อหาอัลบั้มนี้จะพูดถึงการเติบโตเป็นผู้หญิง และการสัมผัสเรื่องทางเพศ แมกซ์ยังคงมาช่วยโปรดิวซ์ในอัลบั้มนี้ แต่บทบาทดูน้อยลง และเพลงไม่ได้รับความนิยมมากนักถ้าเทียบกับเพลงก่อนๆ เขาได้ทำเพลง Overprotected และ I’m Not a Girl, Not Yet a Woman ที่เป็นเพลงบัลลาดช้าๆ ออกมาพร้อมหนังเรื่อง Crossroads ที่บริตนีย์แสดงเป็นนางเอก

 


     ต่อมาบริตนีย์ก็ได้ตัดสินใจทำงานกับโปรดิวเซอร์คนอื่นๆ เพื่อหาแนวเพลงที่แตกต่าง เช่น ในอัลบั้มที่ 4 อย่าง In the Zone ที่เธอทำงานกับโมบี้ (Moby) โดยมีการใช้สไตล์เพลงเฮาส์มาผสมกับซาวด์เพลงตะวันออกกลาง แต่พอมาอัลบั้มที่ 6 อย่าง Circus ในปี 2008 บริตนีย์ก็กลับมาร่วมงานกับแมกซ์อีกครั้งในเพลงสุดกวนอย่าง If You Seek Amy (ลองอ่านชื่อเพลงเร็วๆ หลายๆ รอบ) และในอัลบั้มต่อมา Femme Fatale แมกซ์ก็ได้เป็น Executive Producer ของอัลบั้มอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก พร้อมแต่งเพลง Till the World Ends ที่นิตยสาร Rolling Stone ยกย่องให้เป็นเพลงอันดับ 3 ของปี 2011 เลยทีเดียว

 


อัลบั้มที่ดีที่สุดในช่วงมืดมนที่สุดของบริตนีย์
     Gimme More, Piece of Me และ Break the Ice เป็นเพียงเพลงบางส่วนของ Blackout อัลบั้มลำดับที่ 5 ที่ปล่อยออกมาในปี 2007 นักวิจารณ์เพลงต่างชื่นชมและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของบริตนีย์ และได้ช่วยเปลี่ยนภูมิทัศน์ของเพลงป๊อปให้ดูล้ำสมัยขึ้น โดยเพิ่มองค์ประกอบต่างๆ ทั้งซาวด์ยูโรแดนซ์จากพวกคลับเทคโนในกรุงเบอร์ลิน และเสียงสังเคราะห์ที่ทำจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์

 


     Blackout อัลบั้มนี้เราได้เห็นบริตนีย์เฟ้นหาโปรดิวเซอร์ใหม่ๆ มาทำเพลงให้ เช่น เนต ฮิลส์ (Nate Hills) หรือที่ใช้นามแฝงว่า Danja ที่ในตอนนั้นเน้นทำเพลงให้นักร้องฮิปฮอปเป็นหลัก ส่วนอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์ขวัญใจบริตนีย์ที่ได้กลับมารังสรรค์ผลงานสุดยอดเยี่ยมอีกครั้งคือ Bloodshy & Avant ในเพลง Radar ซึ่งก่อนหน้านี้เขาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเพลง Toxic ซึ่งได้กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานเพลงของบริตนีย์ ทั้งยังทำให้เธอชนะรางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรกในสาขา Best Dance Recording หรือบันทึกเสียงยอดเยี่ยม ในหมวดเพลงแดนซ์
     ในส่วนของเนื้อหา เพลงในอัลบั้มนี้เข้มข้นและโฟกัสเรื่องที่สื่อประโคมข่าวเกี่ยวกับเธอ ซึ่งก็เป็นกระจกสะท้อนปัญหาที่เข้ามารุมเร้าในชีวิตของบริตนีย์ในช่วงนั้น และทำให้ Blackout กลายเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่ได้ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดเหมือน 4 อัลบั้มก่อน

 

 

     ทุกวันนี้แฟนคลับหลายคนยังคงเสียดาย ถ้าตอนนั้นบริตนีย์ไม่ได้เจอปัญหาต่างๆ เธอคงโปรโมตและทำมิวสิกวิดีโอสำหรับอัลบั้มนี้อย่างเหนือชั้น และทำให้เห็นว่าเธอคือศิลปินตัวจริงที่อยากพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ


ใครคือไอดอลตัวจริงของบริตนีย์
     ถึงแม้หลายคนจะชอบเอาบริตนีย์ไปเปรียบเทียบกับราชินีเพลงป๊อปอย่างมาดอนนา เพราะทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันในหลายโปรเจกต์ ทั้งในเพลง Me Against the Music หรือตอนที่บริตนีย์ขึ้นไปเป็นแขกรับเชิญในเพลง Human Nature ที่คอนเสิร์ต Sticky & Sweet World Tour ของมาดอนนาที่ลอสแอนเจลิส แต่ถ้าศึกษาดีๆ เราจะเห็นว่าแรงบันดาลใจสำคัญของบริตนีย์คือ เจเน็ต แจ็กสัน

     ความคล้ายคลึงของทั้งคู่อยู่ตรงที่เน้นการแสดง เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ที่มาพร้อมแพ็กเกจแสง สี เสียง และการเต้นที่ดูแข็งแกร่ง พร้อมเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ (แม้จะไม่ได้อลังการงานสร้าง) โดยตอนเข้าวงการแรกๆ ทั้งเจเน็ตและบริตนีย์ก็ถูกวางตัวให้ดูใสๆ อินโนเซนต์ แต่พอโตขึ้น เนื้อเพลง ท่าเต้น และภาพลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูมีความเร่าร้อนและถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

     

     ในหลายผลงานของบริตนีย์ เราได้เห็นเธอใช้แรงบันดาลใจจากเจเน็ตทั้งในมิวสิกวิดีโอและการสร้างสรรค์ผลงานเพลง เริ่มจากมิวสิกวิดีโอ Stronger ในปี 2000 ของบริตนีย์ที่มีการเต้นกับเก้าอี้เหมือนเจเน็ตในมิวสิกวิดีโอเพลง The Pleasure Principle และ Miss You Much ในช่วงปลายยุค 80s ส่วนอีกหนึ่งเพลงอมตะของเจเน็ตอย่าง Nasty บริตนีย์ก็ได้เอาท่อนเนื้อเพลงสั้นๆ กระชากอารมณ์ไปใส่ในเพลง Boys ของเธอที่โปรดิวซ์โดย ฟาเรลล์ วิลเลียมส์ ซึ่งเขาเคยจะให้เจเน็ตร้องเพลง I’m a Slave for You แต่เธอขอผ่าน เพลงนี้เลยกลายมาเป็นของบริตนีย์ในภายหลัง

 

 

ก้าวต่อไปของนักร้องชื่อบริตนีย์ สเปียร์ส
     ผลงานอัลบั้มล่าสุดของบริตนีย์อย่าง Glory ยังคงตอกย้ำความเป็นศิลปินป๊อปที่พยายามจะหามิติใหม่ๆ และยอมจมปลักอยู่กับสิ่งเดิมๆ ถึงแม้เพลงที่ปล่อยออกมาอย่าง Make Me… หรือ Slumber Party จะไม่ได้ฮิตติดชาร์ตเหมือนสมัยก่อน แต่ในเชิงคุณภาพของเพลงก็ถือว่ายังน่าประทับใจ และบริตนีย์ได้โฟกัสด้านการร้องเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นจุดหนึ่งที่คนมักจะติชมเธอเป็นประจำ

 


     ถ้าบริตนีย์ยังอยากกลับมาครองแชมป์อันดับหนึ่ง เธออาจต้องตามกระแสด้วยการไปร้องเพลงฟีเจอริงกับดีเจแถวหน้าทั้ง ไคโก้ (Kygo), เซดด์ (Zedd), เมเจอร์ เลเซอร์ (Major Lazer), แคลวิน แฮร์ริส (Calvin Harris)หรือ The Chainsmokers ซึ่งเป็นสูตรที่นักร้องหลายคนใช้กันช่วงนี้ทั้ง เซเลนา โกเมซ กับไคโก้ ในเพลง It Ain’t Me หรือ Coldplay กับ The Chainsmokers ในเพลง Something Just Like This ที่ฮิตติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว

     มองย้อนกลับไปทั้ง 9 อัลบั้มของบริตนีย์ จะเห็นว่าเธอเล่นกับแนวทางต่างๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของเพลงป๊อป นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอไม่เคยคิดที่จะหยุดนิ่ง และเพลงของบริตนีย์ก็ได้กลายเป็นเพลงประกอบชีวิตของหลายต่อหลายคนที่เติบโตมาพร้อมกับเธอ
     แม้ทุกวันนี้บางคนอาจจะหยุดฟังเพลงของเธอไปแล้วด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เราเชื่อว่าถ้าเพลง Sometimes หรือ Toxic ถูกเปิดในคลื่นวิทยุ ความทรงจำสักอย่างหนึ่งจะต้องปรากฏขึ้นกับคุณแน่นอน

     ใครบ้างที่ไม่รู้จักเพลงของบริตนีย์?

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising