×

ตลาดคริปโตฯ ร่วงหนักยกแผง! กูรูฟันธงเข้าสู่ภาวะ ‘ขาลง’ จับตา ‘บิตคอยน์’ หวั่นรูดยาวหากหลุดแนวรับ 4.2 หมื่นดอลลาร์ และอาจต้องรอยาวอีก 3 ปี

17.05.2021
  • LOADING...
ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในวันนี้ (17 พฤษภาคม) สะท้อนภาพ ‘ขาลง’ อย่างชัดเจน โดยนักลงทุนพากันเทขายเหรียญคริปโตในหลายๆ สกุลออกมา นำโดย ‘บิตคอยน์’ ที่ล่าสุดราคาร่วงลงมาเคลื่อนไหวในบริเวณ 42,700 ดอลลาร์ หรือลดลงราว 11% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน นับจากเดือนกุมภาพันธ์ 2564

 

นอกจากนี้ เหรียญ Ethereum ก็ปรับตัวลดลงมาเคลื่อไหวในระดับ 3,200 ดอลลาร์ หรือลดลงราว 13%, เหรียญ XRP ลดลงมาอยู่ที่ 1.36 ดอลลาร์ หรือลดลงราว 12.9% และเหรียญ Dogecoin ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.475 ดอลลาร์ หรือลดลงราว 10%

 

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า ราคาบิตคอยน์ที่ร่วงลงรุนแรงน่าจะมาจากสองสาเหตุสำคัญ คือ การทวีตของ อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tesla ที่ระบุว่า Tesla อาจเทขายบิตคอยน์ออกมา ทำให้คนที่ถือบิตคอยน์อยู่ตื่นตกใจพากันเทขายออกมา

 

อีกปัจจัยคือ เวลานี้ครบ 1 ปีพอดีหลังเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving หรือปรากฏการณ์ที่จำนวนเหรียญที่ได้จากการขุดบิตคอยน์จะลดลง ‘ครึ่งหนึ่ง’ ในทุกๆ 4 ปี ซึ่งทุกครั้งหลังเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวราคาบิตคอยน์จะเข้าสู่ช่วงขาขึ้น หรือที่เรียกกันว่า ‘Bull Run’ โดยภาวะนี้จะเกิดขึ้นราวๆ 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงพักฐาน ซึ่งเวลานี้ก็ผ่านมา 1 ปีพอดีหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2563

 

เปิดสถิติช่วง Bull Run หลัง Bitcoin Halving 

 

จิรายุส กล่าวว่า ‘ครั้งแรก’ ที่เกิด Bitcoin Halving คือช่วงกลางปี 2012 หลังจากนั้นราคาบิตคอยน์ก็เริ่มปรับขึ้นและขึ้นไปทำนิวไฮในปี 2013 โดยราคาปรับขึ้นจากระดับ 11 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 1,150 ดอลลาร์ หรือขึ้นมาร่วม 10,000% แต่หลังผ่านเหตุการณ์ Halving ไป 1 ปี ราคาก็ปรับลดลงมาแตะระดับ 200 ดอลลาร์ หรือลดลงมาราว 80% 

 

ปรากฏการณ์ Halving ครั้งที่สอง ช่วงปลายปี 2016 ซึ่งหลังจากนั้นกลางปี 2017 ราคาบิตคอยน์ก็ปรับขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 650 ดอลลาร์ ไปทำนิวไฮในระดับ 20,000 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นไปราวๆ 3,000% แต่หลังจากนั้นราคาก็ร่วงลงสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ หรือลดลงมาราวๆ 80% เช่นเดียวกัน

 

จิรายุส กล่าวว่า ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ครั้งที่สาม เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 หลังจากนั้นราคาบิตคอยน์ก็ขยับขึ้นจากระดับ 3,000 ดอลลาร์ ไปทำนิวไฮที่ระดับ 60,000 ดอลลาร์ หรือขึ้นมาราวๆ 1,900% ขณะที่ล่าสุดราคาปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 42,000 ดอลลาร์ 

 

“ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาจะปรับฐานลง เพราะหลังจากเกิด Halving ราคาบิตคอยน์ก็ขึ้นมาต่อเนื่องกว่า 1 ปี ซึ่งไม่มีสินทรัพย์ไหนที่ราคาจะปรับขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่รอบนี้ประเมินยากว่าจะจบช่วง Bull Run หรือยัง เพราะจะเห็นว่ามีนักลงทุนรายใหม่โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันเข้ามาในตลาดนี้ต่อเนื่อง ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็ยังพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบต่อเนื่อง ทำให้คนไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ ไม่มีใครอยากเก็บเงินสดไว้กับธนาคาร จึงพากันเข้ามาในตลาดคริปโตฯ”

 

จิรายุส กล่าวย้ำว่า ผู้ลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดนี้ แนะนำว่าควรใช้เงินเย็นที่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องนำมาใช้จ่ายอย่างน้อยในช่วง 3-4 ปีจากนี้ เพราะหากจบช่วง Bull Run จริง อาจต้องรออีก 3 ปี จึงจะเป็นรอบใหม่ของการปรับเพิ่มขึ้นของราคาบิตคอยน์ แม้จะรอนานหน่อยแต่ก็น่าจะคุ้มค่ากับการรอคอย

 

จับตาแนวรับสำคัญ 42,000 ดอลลาร์ 

ด้าน ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ถ้าดูจากสัญญาณทางเทคนิค ราคาบิตคอยน์นับว่าเริ่มเข้าสู่ช่วง ‘ขาลง’ อย่างชัดเจน สาเหตุเพราะราคาไม่สามารถทะลุระดับ 60,000 ดอลลาร์ ไปทำนิวไฮใหม่ที่ 70,000 ดอลลาร์ได้สำเร็จ ทำให้ Sentiment ของตลาดเริ่มเสียไป ประกอบกับมีข่าวของ อีลอน มัสก์ ออกมากดดันเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ Tesla เปลี่ยนใจไม่รับเหรียญบิตคอยน์ในการซื้อรถยนต์ รวมไปถึงข่าวที่ว่า Tesla อาจเทขายบิตคอยน์ จึงส่งผลให้ราคาปรับลดลงแรง

 

“จริงๆ ต้องบอกว่า ทางเทคนิคแล้ว บิตคอยน์ถือว่าเป็นขาลง ซึ่งที่ผ่านมาราคาเหรียญพยายามเบรกไฮเดิมเพื่อขึ้นไปทดสอบบริเวณ 70,000 ดอลลาร์ แต่ไม่สำเร็จ จึงเห็นแรงเทขายออกมาเป็นระยะ บังเอิญมีข่าว อีลอน มัสก์ ออกมา ตลาดจึงใช้เหตุผลนี้ในการอ้างอิงสาเหตุของราคาที่ลดลง ซึ่งถ้าไม่มีข่าว อีลอน มักส์ ก็เชื่อว่าตลาดคงจะหาเหตุผลอื่นๆ มาอ้างอิงการปรับตัวลงอยู่ดี เพราะด้วยสัญญาณทางเทคนิคแล้ว ตลาดคริปโตฯ ในช่วงนี้ถือเป็นขาลงจริงๆ”

 

นอกจากนี้ ปรมินท์แนะนำว่า ให้จับตาดูแนวรับสำคัญบริเวณ 42,000 ดอลลาร์ และ 40,000 ดอลลาร์ให้ดีๆ หากหลุดแนวรับนี้ลงไป มีโอกาสที่ราคาเหรียญจะลงไปแตะระดับต้นๆ 30,000 ดอลลาร์ได้ แต่หากยืนระยะนี้ไว้ได้ เชื่อว่าคงได้เห็นการรีบาวด์กลับขึ้นไปอีกครั้ง เพราะในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นราคาบิตคอยน์เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 45,000-60,000 ดอลลาร์ 

 

อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าข่าวเรื่องการเข้ามาลงทุนของผู้เล่นรายใหม่ๆ ที่เป็นสถาบันการเงินน่าจะเป็นตัวที่ช่วยพยุงตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเอาไว้ได้ และไม่น่าจะทำให้ราคาเหรียญบิตคอยน์ลงไปลึกมากนัก ประกอบกับการที่ Fed ยืนยันว่าจะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ข่าวนี้ก็น่าจะช่วยพยุงตลาดคริปโตฯ เอาไว้ได้อยู่

 

สำหรับนักลงทุนที่ยังคงสนใจการลงทุนในตลาดนี้ แนะนำให้ใช้วิธีการ DCA หรือทยอยสะสมและการลงทุนควรต้องเป็นเงินเย็นที่ไม่มีความจำเป็นต้องรีบในการนำมาใช้จ่ายใดๆ 

 

ด้าน ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาเหรียญบิตคอยน์ปรับตัวลดลงรุนแรง เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาไม่น้อยกว่า 300 ครั้งแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้หลัง Sentiment ของตลาดเริ่มเสียไป ประกอบกับมีคอมเมนต์จาก อีลอน มักส์ เข้ามาเกี่ยวข้อง ราคาบิตคอยน์จึงปรับลดลงแรง และถ้าดูการปรับตัวของบิตคอยน์ในช่วงที่ผ่านๆ มา ก็จะเห็นว่าราคาก็รีบาวด์กลับขึ้นมาได้

 

นอกจากนี้ถ้าดูภาพใหญ่ของการลงทุนในตลาดคริปโตฯ จะเห็นว่ามีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าสู่ตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ระยะหลังจะเห็นว่าเงินเริ่มไหลไปสู่ Altcoin (อัลท์คอยน์) หรือเหรียญคริปโตฯ อื่นๆ ที่ไม่ใช่บิตคอยน์มากขึ้น เช่น Ethereum หรือแม้แต่ Dogecoin ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างบิตคอยน์กับอัลท์คอยน์อยู่เรื่อยๆ

 

“บิตคอยน์ตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ครั้ง ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปสังเกตดีๆ ทุกครั้งที่บิตคอยน์ร่วงหนัก คนก็จะบอกว่าบิตคอยน์ตายแล้วๆ เป็นอย่างนี้มาไม่ต่ำกว่า 300 ครั้ง แต่ก็จะเห็นว่าทุกครั้งราคาก็กลับขึ้นมาใหม่ได้ และถ้าดูภาพใหญ่ไปกว่านั้นเราจะเห็นว่าเงินไหลเข้ามาในตลาดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่เริ่มไหลไป DeFi หรืออัลท์คอยน์อื่นๆ แทน”

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising