เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (10 กรกฎาคม) ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดเป็นประวัติการอีกครั้ง ในฐานะภาคเอกชน เครือเจริญโภคภัณฑ์คำนึงถึงประเด็นที่มีความสำคัญต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาครัฐควรบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ การจัดหา ‘วัคซีนที่หลากหลาย’ และเพียงพออย่างรวดเร็ว
เรื่องที่สองคือ ‘ยารักษาผู้ติดเชื้อ’ ซึ่งต้องมีอย่างเพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการแจกจ่ายยาต้องมีกระบวนการที่รวดเร็ว ลดขั้นตอน ผู้ป่วยทุกคนควรเข้าถึงยาตั้งแต่มีอาการเริ่มต้น และสื่อสารต่อประชาชนให้มีความชัดเจน
ตามที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้มีแถลงการณ์ชี้แจงเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อวัคซีน Sinovac ของรัฐบาล ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไรก็ดีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ยังคงมีกลุ่มบุคคลเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคมอย่างกว้างขวางว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์มีผลประโยชน์แอบแฝงต่อการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล
ทั้งนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ขอยืนยันอีกครั้งว่า การจัดซื้อวัคซีน Sinovac เป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) เท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับซีพีทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังสนับสนุนแนวทางการนำเข้าวัคซีนทางเลือก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่ประชาชน และนำมาซึ่งการกลับมาสู่วิถีชีวิตปกติให้รวดเร็วที่สุด
“เครือมีความมุ่งมั่นที่จะฝ่าวิกฤตโควิดไปกับคนไทยทั้งประเทศ พร้อมผนึกกำลังกับทุกภาคส่วนให้ประเทศและระบบเศรษฐกิจของประเทศผ่านพ้นสถานการณ์โควิดไปได้” ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า “ยืนยันที่จะลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยและนักลงทุนต่างชาติ โดยเครือซีพีมีความมั่นใจในศักยภาพของประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ว่าเราจะผนึกกำลังกัน เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในทุกๆ ภาคส่วน”
ศุภชัยยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับผลกระทบที่หนักไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน สุดท้ายเราทุกคนต้องปรับตัว การปรับตัวของคนไทยทั้งประเทศเป็นการสร้างความแข็งแกร่งใหม่ ถ้าเรายังช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และมีความหวัง มีความมุ่งมั่น ประเทศไทยย่อมผ่านวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี”