วันนี้ (21 มิถุนายน) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์บีตา (แอฟริกาใต้) ในพื้นที่ภาคใต้ได้ลุกลามออกนอกจังหวัดนราธิวาสแล้ว แต่ยังอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ยังไม่ลุกลามไปยังภาคอื่น ส่วนจะแพร่ไปกี่จังหวัด อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์บีตา การแพร่ระบาดไม่รวดเร็วเท่าสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) กับอัลฟา (อังกฤษ) ซึ่งตามหลักแล้วหากพบเชื้อกลายพันธุ์จะแจ้งให้พื้นที่ทำการควบคุมเพื่อไม่ให้แพร่กระจายไปเพิ่มไปวงที่ 2 และวงที่ 3
ก่อนหน้านี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เก็บตัวอย่างระหว่างวันที่ 7 เมษายน ถึง 13 มิถุนายน 2564 จำนวน 5,055 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อัลฟา หรือสายพันธุ์อังกฤษ 4,528 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.6 สายพันธุ์เดลตา หรือสายพันธุ์อินเดีย 496 ราย พบใน 20 จังหวัด และพบมากที่สุดอยู่ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วนสายพันธุ์บีตา หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ 31 ราย อยู่ในจังหวัดนราธิวาส 28 ราย และในสถานกักกันตัวของรัฐ จังหวัดสมุทรปราการ 3 ราย
สำหรับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) พบว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีการแพร่กระจายง่าย ทำให้เกิดการป่วยและเสียชีวิตได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม วัคซีนที่ใช้ในประเทศยังสามารถใช้ได้กับสายพันธุ์นี้
ส่วนสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) พบว่ามีการแพร่กระจายได้เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟา แต่ยังไม่พบว่ามีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อัลฟา วัคซีนที่ใช้ในประเทศยังสามารถใช้ได้กับสายพันธุ์นี้
ขณะที่สายพันธุ์บีตา (แอฟริกาใต้) พบว่ามีการแพร่กระจายได้ช้ากว่าสายพันธุ์อื่น แต่ทำให้เกิดการป่วยและเสียชีวิตได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งวัคซีน AstraZeneca ที่ไทยมีอยู่ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการร้อยละ 10.4 แต่ไม่สามารถประเมินการป้องกันอาการรุนแรงได้ ส่วนวัคซีน Sinovac มีผลการศึกษาในห้องทดลองว่า น้ำเหลืองของผู้ที่ได้รับวัคซีนมีความสามารถในการยับยั้งสายพันธุ์บีตาลดลงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดิม
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า