จากรายงานการจัดอันดับเมืองที่ประชากรมีสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวดีที่สุดในปี 2021 (Cities with the Best Work-Life Balance 2021) โดย Kisi องค์กรชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ที่สำรวจและจัดเก็บข้อมูลการทำงานใน 50 เมืองจากหลายทวีปทั่วโลก
โดยพิจารณาจาก 18 ตัวชี้วัดจาก 4 มิติสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความเข้มข้นในการทำงาน (Work Intensity) ที่ลงลึกไปถึงชั่วโมงการทำงาน อัตราการว่างงาน วันหยุดพักร้อน รวมถึงในแง่ขององค์กรและสภาพสังคม (Society and Institutions) มีสถานพยาบาลรองรับหรือไม่ ความยากง่ายในการเข้าถึงบริการ การโอบรับความหลากหลาย อีกทั้งยังพิจารณาในแง่ความน่าอยู่ของเมือง (City Livability) ค่าครองชีพเป็นอย่างไร คุณภาพอากาศดีไหม ปลอดภัย และมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมหรือไม่ ตลอดจนผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 (Covid-19) รุนแรงมากแค่ไหน และมีวิธีการเยียวยาหรือได้รับการสนับสนุนในช่วงวิกฤตอย่างไร
พบว่า ประชากรในเฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มี Work-Life Balance ดีที่สุดในปี 2021 นับเป็นการรักษาแชมป์ไว้ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากรายงานฉบับแรกที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ตามมาด้วย ออสโล นอร์เวย์, ซูริก สวิตเซอร์แลนด์, สตอกโฮล์ม สวีเดน และโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ครอง 5 อันดับแรกจากหัวตาราง ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเมืองจากประเทศในทวีปยุโรปทั้งสิ้น
ส่วนกรุงเทพฯ รั้งอันดับที่ 49 จากทั้งหมด 50 เมือง อีกทั้งยังติดท็อป 3 เมืองที่มีชั่วโมงการทำงานนานที่สุด เป็นรองเพียงฮ่องกงและเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ โดยชั่วโมงการทำงานถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการจัดอันดับในครั้งนี้ โดยการทำงานหนักเกินไปพิจารณาจากการทำงานเกินกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แนะชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์การทำงาน (5 วัน)
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
อ้างอิง: