×

ชูวิทย์เปิดตัว ‘สกาย’ พยานสำคัญคดีตำรวจรีดไถเงินดาราสาวไต้หวัน ยืนยันจ่ายเงินเจ้าหน้าที่จริง เป็นค่าบุหรี่ไฟฟ้า-ไม่พกพาสปอร์ต

โดย THE STANDARD TEAM
01.02.2023
  • LOADING...
ชูวิทย์เปิดตัว

วันนี้ (1 กุมภาพันธ์) เวลา 14.10 น. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดแถลงข่าวกรณีที่ อันหยูชิง หรือ ชาร์ลีน อัน ดาราสาวไต้หวัน และกลุ่มเพื่อน ระบุว่า ถูกตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน 27,000 บาท โดยก่อนแถลงชูวิทย์ได้ตีปี๊บและกล่าวระหว่างเดินว่า จะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คลุมศีรษะไว้ เพื่อซ่อนจากข้อเท็จจริงที่กำลังจะเปิดเผย

 

ชูวิทย์กล่าวว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่มีการทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เพิ่งมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด จากนี้แทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจรผู้ร้าย กลับต้องมากลัวตำรวจที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขา 

 

โดยชูวิทย์เปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือของ อันหยูชิง พร้อมกล่าวว่า เป็นความจริงที่ อันหยูชิง ใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่วันที่เกิดเรื่องเธอไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามา 

 

“ถ้าถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหาย ผมก็เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายมาตลอด ถ้าผมเปรียบตำรวจไม่ดี เป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว” ชูวิทย์กล่าว

 

ต่อมาเวลา 14.20 น. ชูวิทย์ได้เชิญ สกาย นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์เพื่อนของ อันหยูชิง มาร่วมแถลงข่าว

 

สกายกล่าวว่า การเดินทางมาวันนี้ ถ้าไม่ไว้ใจชูวิทย์ก็คงไม่มา วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้ง อันหยูชิง ไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม ระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่าน ใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่

 

จากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำด่านบอกให้รถจอดเข้าข้างทางและให้ทุกคนลงจากรถ เริ่มเข้ามาตรวจค้น จับตามตัวและกระเป๋า ให้นำหนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าวตนยอมรับว่าไม่ได้นำพาสปอร์ตมาจากที่พัก 

 

สกายกล่าวต่อไปว่า จากการตรวจตามตัวเจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน เจ้าหน้าที่ถามต่อว่ามาจากประเทศไหน ตอนนั้นทางกลุ่มเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมตำรวจต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร ห้ามถ่ายรูป ในเหตุการณ์นั้นมีเพียงตนเองที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไม่ได้ 

 

“เจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า อย่ากวนประสาท ระหว่างที่ผมถามถึงเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องตรวจมากมาย เพราะผมและเพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน พร้อมอธิบายว่า ตามปกติแล้วการเดินทางเข้าประเทศไทยของคนสิงคโปร์ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า ยกเว้นกรณีที่มาอาศัยเกินกว่า 10 วันขึ้นไป ส่วนผมที่เดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2565 เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่ และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่เดินทางกลับ” สกายกล่าว

 

สกายกล่าวต่อไปว่า ส่วนหนังสือเดินทางที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนได้ตอบไปว่า เอกสารต่างๆ อยู่ที่ที่พัก ถ้าจะตรวจขอเวลากลับไปนำมาแสดง ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ฟังและพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกสารทันที ห้ามไปไหน และพยายามแจ้งว่า การพกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด ตนจึงได้ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่า ตนและเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่า ถ้าผิดกฎหมายจริงทำไมขายได้ทั่วไป บุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึดอยู่ตนก็ซื้อมาจากตลาดที่ตลาดห้วยขวาง และเห็นคนไทยใช้ตามปกติ ไม่มีใครบอกว่าผิด

 

เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จ ตอนนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มมีทีท่าโมโหและบอกว่า ถ้าอย่างนั้นทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้ตนจะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ฟัง เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจและแจกแจงให้ตนเองฟังว่า บุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน ปรับอันละ 8,000 บาท ส่วนที่ไม่พกพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท

 

“มีคนเข้ามาพูดคุยเรื่องเงิน 3 คน โดยคนแรกเป็นชายไม่สวมเครื่องแบบ สวมเสื้อแจ็กเกต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากผม และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ส่วนคนที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง และคนที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย” สกายกล่าว

 

สกายกล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หนึ่งรายยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้ อันหยูชิง ถือพร้อมถ่ายภาพ ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน และทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นเร็วๆ รวมถึงอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ซึ่งวันที่เกิดเรื่องตนมีเงินติดตัว 30,000 บาท ตอนที่ให้เงินทางตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่านตรวจ จากนั้นให้ตนเองนับเงิน 27,000 บาทให้เรียบร้อย และให้ในกลุ่มของตนมายืนบังมุมกล้อง เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย เจ้าหน้าที่จึงเรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ

 

หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมา ในกลุ่มไม่ค่อยอยากพูดคุยกัน เพราะทุกคนยังเครียด แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนออกมาพูด และพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไรและบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้

 

สำหรับเงินที่จ่ายไปสกายยืนยันว่า ตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบบังคับให้จ่ายเงิน ตนเองไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้ เงิน 30,000 บาทที่จ่ายไปตั้งใจว่าจะซื้อของฝากให้ครอบครัว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ เพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาทเท่านั้น

 

“หลังกลับมาจากประเทศไทยในกลุ่มมีการพูดคุยกันและคิดว่าถ้าตอนนั้นมีทางเลือกก็คงไม่ให้เงิน แต่ให้ไปเพราะตำรวจจะพาไปที่สถานีตำรวจอย่างเดียว” สกายกล่าว 

 

ขณะเดียวกันชูวิทย์ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพของตำรวจสังกัดสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่าจดจำใครได้บ้าง ซึ่งสกายดูรูปภาพตำรวจแล้วได้พยักหน้าตอนที่ดูภาพตำรวจทั้งสองนาย

 

ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. สกายออกมาจากการแถลงพร้อมกับที่ พล.ต.ต. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต. อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในการสอบปากคำวันนี้ด้วย โดย พล.ต.ต. อาชยน กล่าวว่า ขอเวลาขึ้นไปพบสกาย พยานสำคัญก่อน ซึ่งวันนี้ได้ให้คณะกรรมการและทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย เข้ามาร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็น

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising