วันนี้ (12 กันยายน) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เท่าที่นั่งฟังมาขอสรุปความได้ว่า มีข้อซักถามสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1. เหตุใดไม่จัดเรื่องของการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้เป็นนโยบายเร่งด่วน และ 2. ความไม่ชัดเจนของนโยบายว่าจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบไหน อย่างไร ที่ไม่มีในรายละเอียด
ชูศักดิ์กล่าวว่า ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ถูกกำหนดไว้เป็นนโยบายเร่งด่วน ซึ่งในรัฐบาลของ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนว่า “จะแก้ปัญหาความเห็นต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไม่แก้ไขหมวด 1 และ 2 และจะหารือแนวทางในการทำประชามติ
เมื่อมาถึงรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร ได้เขียนไว้สั้นๆ ว่า “เร่งรัดทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการประชาธิปไตย” จริงอยู่ที่ว่าไม่ได้ระบุเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ก็พอใจอยู่นิดหนึ่ง คือระบุไว้ว่า 1. เร่งรัด และ 2. โดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“ขณะที่เรื่องรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องการให้มีฉบับใหม่ และแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย พวกเรารับทราบกันดีว่าที่ไปที่มาของรัฐธรรมนูญปี 2560 มาอย่างไร เป็นปัญหาอะไร ซึ่งเขาเรียกกันว่ารัฐธรรมนูญปราบโกง แต่เมื่อผมดูแล้ว ปราบโกงในที่นี้ก็มีบทบัญญัติหลายมาตราที่เป็นปัญหา เพราะสามารถตีความได้เกินเลยไปจากความปกติธรรมดาที่ควรจะเป็น” ชูศักดิ์กล่าว
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านได้พูดคุยกับตนเองว่า ระหว่างที่เรารอการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราบางประเด็นที่คิดว่ามีความจำเป็น เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่ให้เกิดปัญหาการตีความล้นเกิน ซึ่งตนก็เห็นด้วยว่าควรจะทำ แต่ว่าจะทำในที่นี้ ก็คิดว่าดีที่สุดคือให้พรรคการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ช่วยกันทำในนามของพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง
ชูศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ในขณะนี้พรรคประชาชนก็ได้เสนอร่างมาแล้ว ในส่วนของตนก็มีการยกร่างมาอยู่พอสมควร ก็มีแนวความคิดเห็นด้วยว่าอาจจะแก้ไขรัฐธรรมนูญรายประเด็นพร้อมๆ กันไป กับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งฉบับควบคู่กันไป ก็จะทำให้บ้านเมืองเรามีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
“ทั้งนี้เรามีเจตนาที่แน่วแน่ว่าจะเร่งรัดในการรีบจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเราทราบกันดีว่าปัญหาจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขณะนี้ ต้องแก้กฎหมายประชามติ ซึ่งหลังจากมีกฎหมายประชามติแล้ว เราจะเริ่มต้นถามประชาชนได้ว่า จะสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก็เป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งของการจัดทำรัฐธรรมนูญประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศ และเรายินดีเร่งรัด จัดทำ และยังมีความชัดเจนว่าเราจะมุ่งไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ย้ำ ประชาชนคาดหวังนักการเมืองชัดเจน
ด้าน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขอใช้สิทธิพาดพิง พร้อมกล่าวขอบคุณที่ชูศักดิ์ชี้แจง โดยเชื่อว่าเป็นบรรยากาศที่ดีของสภาที่มีการแลกเปลี่ยนกันมากกว่าการสื่อสารทางเดียว และขอขอบคุณที่ช่วยยืนยันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะไม่นำเรื่องการแก้ไขทั้งฉบับมาเป็นเงื่อนไขในการไม่ยื่นร่างแก้ไขรายมาตรา
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ทั้งสองเส้นทางนี้ เราสามารถดำเนินการคู่ขนานกันได้ และส่วนตัวก็เชื่อว่าตัวท่านเองคงทราบเงื่อนเวลาว่าเราจะมีวาระการประชุมร่วมกันในเรื่องนี้ ประมาณช่วงปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม ดังนั้นจึงอยากให้ตัวแทนของทุกพรรคการเมืองช่วยกันยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเดินหน้าต่อในการจัดวางตำแหน่งแห่งที่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระให้เป็นไปตามหลักสากล
ณัฐพงษ์กล่าวถึงการแถลงนโยบาย ซึ่งควรจะระบุเงื่อนเวลาและงบประมาณหรือไม่ ว่า แม้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2550 และ 2560 แตกต่างกัน แต่ถ้ามองในแง่ของประชาชน สิ่งที่ประชาชนคาดหวังต่อนักการเมืองทุกคนคือความชัดเจนในการทำการเมือง
“บางครั้งการเปิดตัวเลือกไว้กว้างๆ ไม่ผูกมัดตัวเอง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนที่คาดหวังต่อนักการเมืองคือความชัดเจน” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ยกตัวอย่างว่า ก่อนการเลือกตั้ง สิ่งที่ประชาชนคาดหวังว่า จุดยืนทางการเมือง การจับขั้วทางการเมือง การนำเสนอนโยบายเป็นอย่างไร เพื่อให้เขากาลงคะแนนเสียงในคูหาได้อย่างถูกต้อง หลังการเลือกตั้ง สิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบาย สิ่งที่คุณได้หาเสียงไว้ คุณจะทำได้ภายในระยะเวลาเท่าไร ใช้งบประมาณเท่าไร ซึ่งตนเชื่อว่าถึงแม้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะไม่ได้ตีกรอบตามกฎหมายบังคับให้ต้องทำ แต่จะดีกว่านี้ ถ้านโยบายเร่งด่วนมีการระบุกรอบเวลาและงบประมาณที่ชัดเจน เพราะผลประโยชน์สูงสุดจะเกิดกับประชาชน