สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยตามการประมาณการของ Bloomberg ระบุว่า หนี้ทุกภาคส่วน (Total Debt) ทั้งภาครัฐ เอกชน และครัวเรือนของจีน เพิ่มขึ้นเฉียด 282% ของ GDP ในไตรมาส 2 อย่างไรก็ดี ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณว่าการกู้ยืมของทั้งรัฐบาล ธุรกิจ และผู้บริโภคเริ่มชะลอตัวลงแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ต่ำลงนั่นเอง
ตามการคำนวณข้อมูลของธนาคารกลางจีน (PBOC) และสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) โดย Bloomberg แสดงให้ว่า หนี้ทุกภาคส่วน (Total Debt) ทั้งภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐบาลของจีน เพิ่มแตะ 281.5% ของ GDP ในไตรมาส 2 ของปี 2023 จาก 279.7% ในไตรมาสแรก (ภาพที่ 1)
สอดคล้องกับการประเมินของสถาบันการเงินและการพัฒนาแห่งชาติของจีน (National Institution for Finance And Development: NIFD) ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมอง ที่ประเมินว่าหนี้สินโดยรวม (Total Debt) จะเพิ่มขึ้นเป็น 283.9% ในไตรมาส 2
จีนกำลังเข้าสู่ภาวะ Balance Sheet Recession หรือไม่?
จากข้อมูลของ PBOC และ NBS ยังแสดงให้เห็นว่าภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจีนกำลังสร้างหนี้เพิ่ม โดยสัดส่วนหนี้ของทั้ง 2 ภาคส่วนเมื่อเทียบกับ GDP ได้เพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 2 (ภาพที่ 2)
ตัวเลขเหล่านี้กำลังทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า จีนกำลังเข้าสู่ภาวะ Balance Sheet Recession หรือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเมื่อหนี้ภาคเอกชนอยู่ในระดับสูง ทำให้บุคคลหรือบริษัทต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับการออมและการชำระหนี้มากกว่าการใช้จ่ายหรือการลงทุน ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือลดลง ตัวอย่างเช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของญี่ปุ่นที่เริ่มต้นในปี 1990 หรือ Lost Decade และภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอเมริกาในปี 2007-2009
Richard Koo หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยโนมูระ กล่าวเมื่อปลายเดือนมิถุนายนว่า จีนกำลังเผชิญกับสิ่งคล้ายคลึงที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นหยุดชะงักในทศวรรษที่ 1990 ได้แก่ การลดลงอย่างรวดเร็วของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทำให้ภาคเอกชนหันไปลดภาระหนี้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนลดลง
อย่างไรก็ตาม NIFD มองว่าขณะนี้สัดส่วนการก่อหนี้โดยรวมในจีนจะยังไม่ลดลง แต่มีสัญญาณการชะลอตัว ซึ่งหมายความว่าครัวเรือนมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการซ่อมแซมงบดุลหรือบัญชีหนี้สินของตนมากกว่าที่เคยเป็น และบริษัทต่างๆ ลังเลที่จะกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจ
ดังนั้น “แนวโน้มเหล่านั้นอาจทำให้การเติบโตของ GDP ชะลอตัวลงได้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ดังกล่าวสามารถหลีกเลี่ยงได้ หากรัฐบาลจีนเพิ่มการกู้ยืมและลดอัตราดอกเบี้ย” NIFD ระบุ
นักเศรษฐศาสตร์-รัฐบาลจีนพยายามผลักดัน ‘แคมเปญลดหนี้’ มาตลอด
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นในจีนเป็นความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลจีนเริ่มออก ‘แคมเปญลดหนี้’ (Deleveraging Campaign) มาตั้งแต่ปี 2017 เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน รวมไปถึงความพยายามของปักกิ่งในปี 2020 ที่ตั้งเป้าจะลดการก่อหนี้และการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์
Adam Wolfe นักเศรษฐศาสตร์ตลาดเกิดใหม่จาก Absolute Strategy Research กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับข้อสรุปของรายงาน NIFD ว่าจีนไม่ได้อยู่ในภาวะ Balance Sheet Recession แต่จีนก็ยังมีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากครัวเรือนและบริษัทต่างๆ กำลังเร่งซ่อมแซมงบดุลของตนอยู่ โดยสาเหตุที่ครัวเรือนและบริษัทในจีนมีพฤติกรรมเช่นนี้ ก็เป็นเพราะนโยบายของรัฐบาลในการลดความเสี่ยงภาคการเงิน
อ้างอิง: