หวังเหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เปิดเผยแผนของรัฐบาลจีนที่เตรียมจะจัดส่งวัคซีน 10 ล้านโดสให้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาผ่านโครงการ Covax ว่ามีขึ้นตามคำเรียกร้องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) หลังบรรดาประเทศกำลังพัฒนาต่างเร่งมองหาแหล่งนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งคาดว่าปริมาณการผลิตวัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้จะไม่เพียงพอต่อความต้องการ
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัววัคซีนที่จีนจะส่งให้กับทาง Covax รวมถึงการระบุว่าการจัดเตรียมดังกล่าวเป็นการบริจาคหรือขายให้ในราคาพิเศษ
ทั้งนี้ โครงการ Covax หรือ COVID-19 Vaccine Global Access Facility จัดตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations: CEPI), องค์กรกาวี (Gavi, The Vaccine Alliance) และองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของนานาประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศรายได้น้อยและรายได้ปานกลางให้ได้รับวัคซีนที่เพียงพอ ขณะที่กลุ่มประเทศร่ำรวยต่างกวาดวัคซีนที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จากผู้ผลิตในยุโรปไปครอง
หวังยังใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ประชาคมโลกที่มีศักยภาพแข็งแกร่งลงมือดำเนินการสนับสนุน Covax และการทำงานขององค์การอนามัยโลก เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายให้ได้รับวัคซีนในห้วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้สามารถเอาชนะการระบาดครั้งใหญ่ได้ในเร็ววัน
โดยจีนระบุว่า องค์การอนามัยโลกขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุมัติรับรองวัคซีนของจีน เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
จนถึงขณะนี้ โครงการ Covax สามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงเศษเสี้ยวจากยอดซื้อทั้งหมดที่ตั้งไว้ที่ 2,000 ล้านโดสในปีนี้ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ทาง Pfizer หนึ่งในผู้ผลิตวัคซีน ได้ให้คำมั่นที่จะจัดส่งวัคซีนโควิด-19 จำนวน 40 ล้านโดสให้กับทาง Covax ในปีนี้ ขณะที่ทาง Covax ได้รับวัคซีนที่แอสตราเซเนการ่วมมือกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพัฒนาขึ้นแล้วที่ 150 ล้านโดส
ในส่วนของจีนเอง ทางการจีนได้จัดส่งวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเองให้กับบรรดาประเทศกำลังพัฒนาแล้วอย่างน้อย 27 ประเทศ ภายใต้ข้อตกลงซื้อขายระดับทวิภาคี หรือผ่านการบริจาค โดยรายงานระบุว่า เฉพาะประเทศตุรกีเพียงประเทศเดียว บริษัทซิโนแวค ไบโอเทคของจีนได้ทำข้อตกลงขายวัคซีนจำนวน 50 ล้านโดสแล้ว
เว็บไซต์ Channel News Asia รายงานว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการสร้างชื่อเสียงและความเชื่อมั่นให้กับประเทศจีน ท่ามกลางความวิตกกังวลต่ออิทธิพลทางการทหารและเศรษฐกิจที่ขยายใหญ่มากขึ้นของจีน
ทั้งนี้ บริษัทรัฐวิสาหกิจจีน 2 แห่งคือ ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) และ ซิโนแวค (Sinovac) คือสองบริษัทที่อยู่เบื้องหลังความพยายามในการจัดส่งวัคซีนไปยังต่างประเทศของทางรัฐบาลจีน โดยวัคซีนของทั้งสองบริษัทพัฒนาจากเชื้อไวรัสที่ตายแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวัคซีนแบบ mRNA อย่างไรก็ตาม วัคซีนที่ผลิตตามแบบแรกจะจัดส่งได้ง่ายกว่าวัคซีนแบบ mRNA ซึ่งต้องการอาศัยการเก็บตัววัคซีนไว้ที่อุณหภูมิเย็นจัด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อประเทศยากจน
ขณะนี้ มีเพียงวัคซีนที่ผลิตโดยซิโนฟาร์มเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทั่วไปภายในจีนแล้ว แต่วัคซีนของทั้งสองแห่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้ทั้งกรณีฉุกเฉินและกรณีทั่วไปในหลายประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์การฉีดวัคซีนในหลายประเทศ ไล่เรียงตั้งแต่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปจนถึงอินโดนีเซีย โดยวัคซีนของซิโนฟาร์มมีประสิทธิภาพที่ 79.3% ขณะที่วัคซีนของซิโนแวคอยู่ที่ 50%
ที่ผ่านมา จีนตกเป็นเป้าโจมตีเรื่องความผิดพลาดในการรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกในเมืองอู่ฮั่นเมื่อช่วงปลายปี 2019 โดยขณะนี้ทีมผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกกำลังลงพื้นที่ในเมืองอู่ฮั่น เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและเก็บข้อมูลเพื่อหาเบาะแสต้นตอของไวรัส ซึ่งทางการจีนระบุว่าไวรัสเป็นความท้าทายของมวลมนุษยชาติ และต้นตอของไวรัสอาจมาจากนอกประเทศ
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
