ทางการจีนเปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีอัตราการขยายตัว 6.4% ในไตรมาส 4 ของปี 2018 ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 6.5% ในไตรมาส 3 ขณะที่ GDP ตลอดทั้งปี 2018 ขยายตัวที่ระดับ 6.6% ซึ่งช้าสุดนับตั้งแต่ปี 1990 ท่ามกลางกระแสวิตกว่า เศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับแรงกดดันในทิศทางขาลง
ถึงแม้การขยายตัวรายไตรมาสของจีนจะอยู่ในอัตราช้าที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2009 แต่ก็ยังสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่จีนกำลังเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยลดการพึ่งพาการส่งออกและหันไปพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ก่อนหน้านี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple เตือนว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในจีนจะส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต่างโอดครวญว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกได้สร้างผลกระทบต่อยอดขายของพวกเขาเช่นกัน
แคทรินา เอลล์ นักเศรษฐศาสตร์แห่ง Moody’s Analytics ในซิดนีย์ให้ความเห็นว่า “หากจีนดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจโลกจะสูญเสียแรงขับเคลื่อน และสิ่งที่คาดเดาได้ยากก็คือจีนจะทำเช่นนี้อีกนานแค่ไหน เพราะรัฐบาลปักกิ่งต้องการหลีกเลี่ยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อย่างที่เคยทำแต่ก่อน อย่างไรก็ตามหากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอ่อนแรงลง อาจบีบให้จีนทบทวนมาตรการเชิงรุกมากขึ้นอีกครั้ง”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: