สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง หลังสหรัฐอเมริกาใช้กำลังทหารยิงบอลลูนของจีนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (4 กุมภาพันธ์) โดยทางการจีนระบุว่าบอลลูนดังกล่าวเป็นบอลลูนของพลเรือนที่ใช้สำหรับการวิจัยด้านอุตุนิยมวิทยา
แถลงการณ์ระบุชัดเจนว่า จีนได้แจ้งสหรัฐฯ หลายครั้งแล้วว่าบอลลูนดังกล่าวเป็นของพลเรือน แต่เนื่องจากอิทธิพลของกระแสลมทางทิศตะวันตก และความสามารถที่จำกัดในการควบคุมบอลลูน จึงทำให้บอลลูนเบี่ยงเบนออกจากทิศทางที่กำหนดไว้
กระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า จีนขอแสดงความเสียใจต่อความผิดพลาดจากการที่บอลลูนได้ลอยเข้าสู่เขตของสหรัฐฯ อันเนื่องจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และจีนจะยังคงดำเนินการติดต่อสื่อสารกับทางสหรัฐฯ เพื่อจัดการต่อเหตุการณ์นี้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม จีนขอประณามการใช้กำลังทหารตอบโต้ ทั้งที่บอลลูนดังกล่าวไม่ได้แสดงภัยคุกคามทางทหารหรือทางกายภาพต่อประชาชนบนพื้นดิน ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการตอบสนองเกินจริงและละเมิดข้อปฏิบัติสากลอย่างร้ายแรง จีนจึงจะใช้มาตรการเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง และสงวนสิทธิ์ที่จะตอบโต้เพิ่มเติมหากจำเป็น
รายงานของ Bloomberg ระบุเพิ่มว่า ท่าทีตอบสนองของจีนที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติมหาอำนาจมีโอกาสดำดิ่งลงอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งมีสัญญาณบวกได้ไม่นาน โดยการค้นพบบอลลูนดังกล่าวได้ทำให้ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยกเลิกกำหนดการเดินทางเยือนจีนอย่างไม่มีกำหนด
ดริว ทอมป์สัน นักวิจัยอาวุโส กล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ได้ว่าทั้งสองชาติยังมีมุมมองพื้นฐานด้านความสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ได้มุ่งไปในทิศทางบวกอย่างที่หลายฝ่ายตั้งความหวังกันไว้ก่อนหน้า แต่อาจถดถอยลงไปอีก
ขณะเดียวกัน ท่าทีของจีนเองที่มีต่อสหรัฐฯ ก็แสดงถึงความท้าทายภาวะผู้นำของ สีจิ้นผิง เพราะขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังพยายามรักษาสมดุล 3 ด้าน คือ การที่ยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับสหรัฐฯ การรักษาท่าทีแข็งกร้าวของผู้นำในสายตาประชาชนชาวจีน และการยืนหยัดต่อคำกล่าวที่ว่าจีนไม่เคยเป็นภัยคุกคามต่อประเทศใดๆ
เหตุการณ์บอลลูนครั้งนี้มีขึ้นเพียง 3 เดือนหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เพิ่งจะพบปะพูดคุยฉันมิตรนอกรอบในการประชุม G20 ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ซึ่งผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างให้คำมั่นที่จะจับมือร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก และรับมือกับสถานการณ์ความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะภาวะโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความสัมพันธ์จะยังคงไม่สู้ดีนัก แต่หลายฝ่ายประเมินว่า การค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ ด้วยมูลค่าการค้าที่มีโอกาสทุบสถิติสูงสุดในปี 2022
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ต่างชาติแห่ซื้อ ‘หุ้นบลูชิพจีน’ รับกระแสเปิดประเทศ เพียงสัปดาห์เดียวเงินไหลเข้าแล้วกว่า 5.6 หมื่นล้านหยวน
- จริงหรือที่ ‘อินเดีย’ กำลังจะเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่ต่อจากจีน? ถึงขั้นที่การผลิต 1 ใน 4 ของ ‘iPhone’ จะย้ายมาที่นี่ภายในปี 2025
- สีจิ้นผิง ขึ้นเวที G20 เรียกร้องประชาคมโลกจับมือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง: