×

กองทุนหุ้น ‘จีน vs. สหรัฐฯ’ ทางเลือกการลงทุนที่ปัจจัยบวกรออยู่

03.11.2020
  • LOADING...
กองทุนหุ้น ‘จีน vs. สหรัฐฯ’ ทางเลือกการลงทุนที่ปัจจัยบวกรออยู่

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐฯ พบให้ผลตอบแทนช่วง 30-50%(YTD) ชนะผลตอบแทนจากดัชนี 
  • แต่ละกองทุนหุ้นจีนและสหรัฐฯ มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 
  • กองทุนไทยมองอนาคตหุ้นจีนสดใสกว่า แนะลุยกองทุนหุ้นเทคโนโลยี 

ตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจที่ผันผวนทั่วโลก เนื่องจากต้องเผชิญกับปัจจัยลบครั้งใหญ่ คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี และปัจจุบันโลกก็ยังไม่ได้รับวัคซีนโรคนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะดำเนินไปในลักษณะนี้จนถึงปีหน้า หรือหากมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ก็จะเป็นไปในลักษณะ K-Shape

 

ในโลกของการลงทุน โควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากเช่นเดียวกัน ทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจของแต่ละบริษัท และในด้านการแสวงผลตอบแทนของนักลงทุน เรียกได้ว่าทุกอย่างล้วนถูก ‘Reform’ ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนของนักลงทุนและการปรับตัวทางธุรกิจของภาคเอกชน ได้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนและหลายตลาดหุ้น ‘ติดลบ’

 

สำรวจความความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นสำคัญของโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน พบว่ามีความเคลื่อนไหวที่ต่างกันออกไป โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Dow Jones -6.59%, Nasdaq +24.66%, Shanghai +5.7% และ SET -23.94% 

 

ในภาวะการณ์เช่นนี้ การลงทุนผ่านกองทุนนับเป็นเครื่องมือการลงทุนอันดับต้นๆ ที่นักลงทุนเลือกใช้เพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสม โดยกองทุนที่โดดเด่นในจังหวะนี้ คือกองทุนหุ้นจีนและกองทุนหุ้นสหรัฐฯ 

 

จากการสำรวจข้อมูลใน Morningstar Thailand พบว่า กองทุนหุ้นจีนสร้างผลตอบแทนค่อนข้างสูง โดย Top 5 ด้านผลตอบแทนของกองทุนหุ้นจีน ให้ผลตอบแทนอยู่ช่วง 28-48% ขณะที่ Top 5 ด้านผลตอบแทนของกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนในช่วง 25-57%

 

เมื่อดูรายละเอียดสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน พบว่าส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มอุปโภคบริโภคเป็นหลัก และมีการกระจายไปในกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร และเฮลธ์แคร์ 

 

สันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (Chief Investment Officer: CIO) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 MSCI ได้เริ่มนำหุ้นขนาดใหญ่ของจีนที่อยู่ในตลาด A-Shares เข้ารวมคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Markets Index ซึ่ง ณ ขณะนั้นมีสัดส่วนเพียง 0.73% ของดัชนี และในปีนี้ แม้ MSCI จะยังไม่มีการปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีน A-Shares ก็ตาม แต่เมื่อดูจากมูลค่าตลาดของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ควรมีน้ำหนักมากกว่านี้ กล่าวคือที่ประมาณ 16-18% ดังนั้นจากนี้ไปหากมีการพิจารณาปรับเพิ่มสัดส่วนขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าไปลงทุนในจีนเพิ่มขึ้น   

“ตลาดยังให้ความสำคัญกับหุ้นจีนน้อย เมื่อเทียบกับอิทธิพลของจีนในเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นในเชิงขนาดเศรษฐกิจ มูลค่าการค้า สัดส่วนเงินหยวนในตะกร้าเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มูลค่าการบริโภค ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้น และบทบาทของหุ้น A-Sharesในตลาดหุ้นจีนเทียบกับโลกก็ยังน้อยอยู่ จึงมีความเป็นไปได้ในการเติบโตอีกมาก หากต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจ ตลาดหุ้นจีนก็เป็นทางเลือกที่ดี อีกทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตหุ้นโดยรวมได้ด้วย เนื่องจากผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นอื่นๆ น้อยมาก” สันติกล่าว  

 

วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ในการจัดกลยุทธ์การลงทุน กองทุนหุ้นจีนเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจมากๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างสูง รวมถึงการบริโภคภายในประเทศก็มีมูลค่าสูงตามจำนวนประชากร 

 

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนคือกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ราคาหุ้นยังไม่ปรับตัวไปสูงมาก ส่วนหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อาจจะต้องรอจังหวะเข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัวกว่านี้ 

 

ขณะที่ ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในกองทุนจีนและสหรัฐฯ นั้นน่าสนใจมาก เนื่องจากมีปัจจัยบวกรออยู่ค่อนข้างมาก อาทิ การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศของ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ

 

โดยหากโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งและขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แนะนำให้ลงทุนในกองทุนหุ้นที่เน้นน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงกลุ่มการเงินและรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากนโยบายของโจ ไบเดน จะมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัย Tarif น่าจะจบลง และความไปได้ที่จะเกิด Tech War จะต่ำ เมื่อเทียบกับทรัมป์ 

 

“กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ก็น่าสนใจและสามารถเข้าลงทุนได้หากโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง แต่อาจจะต้องติดตามเรื่องความง่ายในการใช้งบประมาณว่ามีแค่ไหน”

 

ในส่วนของการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ นั้น หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง นักลงทุนสามาถเทน้ำหนักลงทุนไปที่หุ้นสหรัฐฯ ได้เลย 80%

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising