ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุประท้วงในกรุงซานติเอโก เมืองหลวงของชิลี เนื่องจากประชาชนจำนวนมากไม่พอใจนโยบายของรัฐบาลที่ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะค่าโดยสารรถไฟใต้ดินในชั่วโมงเร่งรีบที่ปรับขึ้นจาก 800 เปโซ เป็น 830 เปโซ (จาก 34 บาท เป็น 35 บาท) รวมถึงปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม จนนำไปสู่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในท้ายที่สุด เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา
ทางการชิลีประกาศขยายเวลาเคอร์ฟิวออกไปอีก หลังสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลุกลามและบานปลายกลายเป็นเหตุปะทะกันในหลายพื้นที่ ห้างสรรพสินค้า Walmart และสำนักหนังสือพิมพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอย่าง El Mercurio ที่ตั้งอยู่ในบัลปาราอีโซ ไม่ไกลจากเมืองหลวงถูกเผาทำลายได้รับความเสียหาย
สายการบินจำนวนมากสั่งระงับเที่ยวบิน รถไฟใต้ดินพังเสียหาย Metro S.A. ผู้ดูแลกิจการเดินรถไฟใต้ดินของรัฐประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.1 พันล้านบาท)
ด้าน นายพล ฮาเวียร์ อิตูร์ริเอกา ผู้แทนกองทัพ ระบุว่า “ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มไปจนถึงรุ่งเช้า ประชาชนควรอยู่ในความสงบและอยู่แต่ในที่พักอาศัยของตนเอง” นับเป็นเหตุการณ์ที่มีคำสั่งจากประธานาธิบดีให้เคลื่อนกองกำลังทหารควบคุมความสงบตามจุดสำคัญต่างๆ ในรอบเกือบ 30 ปี หลังจากที่ระบอบเผด็จการทหาร นำโดยประธานาธิบดีออกุสโต ปิโนเชต์ สิ้นสุดลงเมื่อปี 1990 และกลับเข้าสู่กระบวนการผลักดันประชาธิปไตย
โดยทางการรายงานว่า มีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้น 103 จุดทั่วประเทศ มีผู้ถูกจับกุมแล้ว 1,462 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองซานติเอโก หลายฝ่ายคาดว่าสถานการณ์ความไม่สงบก็ดำเนินต่อไปอีกสักระยะ แม้ประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปิเญรา จะมีคำสั่งระงับมาตรการขึ้นค่าโดยสารสาธารณะแล้วก็ตาม
ภาพ: Claudio Reyes / AFP via Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: