×

ชานน สันตินธรกุล ‘มิสเตอร์ดื้อ’ ผู้น่ารัก ที่ใช้ความ ‘รั้น’ ผลักดันตัวเอง

18.09.2019
  • LOADING...
มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง

ก่อนที่จะได้ชมภาพยนตร์เรื่อง มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง THE STANDARD POP มีโอกาสนั่งคุยกับ นน-ชานน สันตินธรกุล นักแสดงนำที่พูดอยู่ซ้ำๆ ว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาคือ การพาตัวเองเป็นนักแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวูดให้ได้ 

 

แน่นอนว่า ยิ่งยอดเขาที่เป็นเป้าหมายสูงเท่าไร สิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อไปถึงจุดนั้นก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกับคนอย่างนนที่ตัดสินใจเอาทั้งชีวิตเข้าแลก ทั้งที่เขาเพิ่งอายุ 23 และควรได้ใช้ชีวิตที่สนุกสนานให้มากกว่านี้ 

 

เพราะเขาเลือกแล้วที่จะเดินบนเส้นทางที่ไม่เคยมีใครคิดกล้าเดินมาก่อน ที่ทำให้เขาพบกับชีวิตที่ทั้งสนุก น่ารัก ตลกชวนหัวเราะ มาพร้อมๆ กับความเจ็บปวด ผิดหวัง แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาถอยห่างจากความฝันได้แม้แต่ครั้งเดียว 

 

1. ตอนเด็กๆ นนตีความคำว่าดื้อเป็นภาพเด็กลงไปดื้นที่พื้น เพราะต้องการให้พ่อแม่ซื้อของเล่นให้ ตอนนี้นนยังเชื่อว่า ความต้องการยังอยู่ และอาจมีมากขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่เราจะไม่ลงไปดิ้นที่พื้น แต่เปลี่ยนความดื้อเป็นการหาเหตุผลมาซัพพอร์ตว่า ทำไมเราถึงมีความต้องการนี้ และพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเชื่อความคิดของเรา

 

2. นนเชื่อว่า ยิ่งเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนเท่าไร จะยิ่งมีความดื้อมากเท่านั้น เพราะจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ ซึ่งนนให้คะแนนความดื้อของตัวเองเอาไว้ที่ 8 เต็ม 10 กับเป้าหมายที่ชัดเจนมากๆ ว่าจะต้องเป็นนักแสดงระดับ A-List ของฮอลลีวูดให้ได้ 

 

3. แต่คำว่าฮอลลีวูดของนน เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ในฐานะจุดสูงสุดของนักแสดง แต่ถ้าในอนาคตจุดสูงสุดบังเอิญเปลี่ยนเป็นประเทศจีน (นนกำลังมีซีรีส์เรื่องที่ 2 ในประเทศจีนคือ Dive ที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว รอวันออกอากาศ) หรือประเทศอื่น เป้าหมายของเขาจะเบนไปหาจุดสูงสุดของอาชีพนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม 

 

4. นนเคยเชื่อว่า ถ้าเป็นนักแสดง ต้องฝึกการแสดงให้ดีที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็ไปเรียนแอ็กติ้งเพิ่ม จนตอนหลังเริ่มเข้าใจว่า การเป็นนักแสดงมีเงื่อนไขหลายอย่าง ทั้งหน้าตา ส่วนสูง ภาษา เชื้อชาติ และความเหมาะสมกับบท ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญเหมือนกัน

 

5. นนเคยพยายาม ‘ดื้อ’ เพื่อเอาชนะข้อจำกัดของเรื่องกาย เรื่องความสูง ด้วยการพยายามทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มความสูงให้ตัวเอง ตั้งแต่ดื่มนมวันละ 1 ลิตร ฝังเข็ม ว่ายน้ำ เพ่งมองจุดสีแดงที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนมากขึ้น และออกกำลังกาย โดยเฉพาะเซสชันการฝึกกระโดดที่ต้องทำวันละ 40 นาทีเป็นอย่างน้อยติดกันไม่มีพัก ไม่รับงานอะไรเลยเป็นเวลา 3 เดือน 

 

อ่านบทสัมภาษณ์ของนนเกี่ยวกับการเอาชนะความสูงของตัวเองได้ที่ thestandard.co/nonkul-chanon-santinatornkul

 

6. หลังผ่านไป 3 เดือน นนพบว่า ความสูงของตัวเองเพิ่มขึ้นมา 7 มิลลิเมตร และเปลี่ยนความคิดเป็นยอมรับชะตากรรมของตัวเองว่า สุดท้ายมันมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเอาชนะได้อยู่ ถ้าเขายังดื้อต่อไป และกระดูกหักขึ้นมา (ระหว่างฝึกกระโดดติดกัน 3 เดือน นนรู้สึกได้ว่า กระดูกของเขาได้รับความเจ็บปวดมากแล้ว) เท่ากับว่า โอกาสที่จะไปฮอลลีวูดที่สำคัญกว่า ก็จะถูกหยุดเอาไว้อีก 

 

7. ถึงจะยอมรับว่า ส่วนสูงคงเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่นนคิดว่า การยอมรับความผิดหวังด้วยความเข้าใจ ก็นับว่าเขาได้รับการเติบโต ‘ภายใน’ เข้ามาทดแทน และกลับไปให้ความสำคัญกับการเรียนภาษา เรียนการแสดง เรียนร้อง และเต้น เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปให้มากขึ้นกว่าเดิม 

 

8. นนเปรียบเทียบว่า เขาเพิ่งออกเดินทางได้เพียง 10 จาก 100 ส่วนของถนนที่จะนำเขาไปสู่วงการฮอลลีวูด แต่ยังนับเป็น 10 ส่วน ที่น่ายินดี ณ ตอนนี้ และให้โอกาสตัวเองไปถึงนักแสดงระดับ A-List ของฮอลลีวูดก่อนอายุ 30 ปี (ตอนนี้อายุ 23 ปี) 

 

“ผมให้เวลากับตัวเองเยอะ เพราะคิดว่า ยิ่งเป้าหมายใหญ่ ยิ่งต้องมีเวลาเตรียมตัวเยอะ และยิ่งมีเวลาอยู่กับสิ่งนั้นมากเท่าไร เราจะมั่นใจในตัวเอง และความเชื่อมั่นในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ”

 

9. แต่ขณะเดียวกัน นนก็มักจะกลับมาบอกตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า ตัวเอง ‘กระจอก’ ทุกๆ ครั้งที่เข้าฉากอารมณ์ ดราม่าหนักๆ แต่แสดงออกมาได้ไม่ดี มีครั้งหนึ่งตอนถ่ายมิวสิกวิดีโอเพลง ใครคนนั้น (ของ พลพล x Labanoon) แล้วนนเล่นฉากร้องไห้ไม่ได้ จนต้องใช้น้ำตาเทียมมาช่วย 

 

มิวสิกวิดีโอเพลง ใครคนนั้น

 

“เป็นการถ่ายหลังจากเพิ่งจบจาก ฉลาดเกมส์โกง ที่ผมเคยทำได้ พอทำไม่ได้ อีโก้ของผมพังเละเลย กลายเป็นความเคียดแค้นในชีวิต เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตนี้ ถ้ายังอยากเป็นนักแสดงอยู่ จะไม่มีทางใช้มันอีกเป็นอันขาด สาบานกับตัวเองว่า ถ้าอารมณ์ไม่ได้ก็คือไม่ได้ โชว์ให้คนดูเห็นว่า มึงยังไม่เก่งพอ ฝีมือมึงมีเท่านี้” 

 

10. หลังจากนั้นนนเคยลองแก้ปัญหาด้วยการใช้วิธีปล่อยให้ตาแห้ง เพื่อให้น้ำตาไหลออกมา แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ กลับมาโฟกัสที่การแสดงความรู้สึกจริงๆ อย่างเดียว

 

“ตอนนั้นผมก็ด่าตัวเองอีกว่า มึงมันไม่ได้เรื่อง มึงจะไปถึงจุดนั้นด้วยทักษะแบบนี้เหรอ ผมเป็นคนที่ด่าตัวเองบ่อยมาก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีนะครับ แต่ผมรู้สึกของผมว่า การด่าตัวเองบ่อยๆ มันทำให้เราเลือกที่จะชมตัวเองได้ในโมเมนต์ที่ถูกต้อง ถูกเวลา เป็นโมเมนต์ที่ตัวเราควรได้รับคำชมจากตัวเองจริงๆ ไม่ใช่แค่การคิดไปเอง” 

 

11. ในชีวิตนนรู้สึกมีการ ‘ดื้อ’ อยู่ไม่กี่ครั้งที่ทำให้เขาโกรธตัวเองได้อยู่เสมอ คือ วันที่มีงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ตรงกับวันแข่งฟุตบอลระหว่างห้องเรียนที่นนเป็นตัวจริงพอดี พ่อแม่ก็ได้เตือนเขาแล้วว่า ทำอะไรให้ระวัง แต่นนก็ยังดื้อลงไปเล่น ปรากฏว่า พอลงสนามไป เส้นเอ็นไขว้หน้าบริเวณหัวเข่าขาด ทั้งๆ ที่ไม่มีคนมาชน และฟุตบอลไม่ได้อยู่กับเท้า สุดท้ายต้องผ่าตัดใช้เวลาพักฟื้น 6 เดือน มีงานติดต่อเข้ามามากมาย แต่เขาต้องทิ้งไปทั้งหมด

 

12. อีกเรื่องคือ ตอนเด็กๆ ที่นนเอาเงินค่าขนมทุกวันที่ได้วันละ 30 บาท ไปซื้อเกม อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก แต่นนก็รู้สึกโกรธตัวเองในตอนนั้น เพราะถ้าเขาเอาเงินไปซื้อข้าว ร่างกายเขาก็จะได้รับสารอาหารตามปกติ และออกกำลังกายมากกว่านี้ เขาจะสูงมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ 

 

13. มีความคิดหนึ่งที่นนจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นกับตัวเองแน่ๆ คือ การเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือคนสูงอายุที่คอยมานั่งพูดกับคนอื่นๆ ว่า ตอนหนุ่มๆ เคยทำอะไรมาก่อน และทำได้ดีขนาดไหน แต่ตัวคนพูด ณ ปัจจุบัน ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว 

 

“ผมบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ผมอยากให้ตัวเองในเวอร์ชันปัจจุบันเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดในทุกๆ ปัจจุบัน และจะไม่มีวันโกหกความสามารถของตัวเองว่าเรามีความสามารถมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมต้องการตีจุดนี้ให้แตกจริงๆ เพื่อจะได้รู้ว่า ตัวเองอยู่ในระดับไหน จะได้พัฒนาต่อไปได้ถูก”

 

14. นนเป็นคนที่ซีเรียส จริงจังกับการใช้ชีวิต มักจะต่อว่าและกดดันตัวเองอยู่เสมอ เพื่อพาตัวเองไปถึงจุดหมายในฮอลลีวูดที่ตั้งเอาไว้ให้ได้ แต่นนกลับไม่เคยรู้สึกว่า เขากำลังเครียดหรือเศร้ามากจนเกินไป เพราะเชื่อว่า ‘เป้าหมาย’ จะเป็นเกราะสำคัญ ป้องกันตัวเขาจากภาวะสภาพจิตใจล้มเหลวได้

 

“อันนี้ผมเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองคนเดียวนะครับ อาจจะผิดก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่า ตอนนี้ผมยังปกติดี ผมมีความเชื่อว่า ตราบใดที่ผมมีเป้าหมาย ผมจะไม่กลายเป็นโรคซึมเศร้า เพราะผมไม่มีเวลาให้เศร้ามากด้วยซ้ำ อย่างเช่น หลายๆ ครั้งที่บอกว่า ผมผิดหวัง อีโก้ผมพังทลาย สุดท้ายผมจะรีบกอบกู้ตัวเองกลับมา หาวิธีทำอย่างไรให้ไปต่อได้ เพราะถ้าผมมัวแต่อยู่ในภาวะซึมนานๆ ผมจะไม่สามารถพาตัวเองกลับสู่เส้นทางไปฮอลลีวูดได้” 

 

https://www.youtube.com/watch?v=ix2JoTlmtBw

ตัวอย่างภาพยนตร์ มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X