วันนี้ (7 มิถุนายน) ที่ห้องประชุมชีนิมิตร สำนักการระบายน้ำ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และสำนักการระบายน้ำ ร่วมหารือกับ อายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในแผนการดำเนินงานล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำให้กับกรุงเทพมหานคร โดยจะนำผู้ต้องขังออกมาช่วยงานลอกท่อ ทำความสะอาด เปิดเส้นทางระบายน้ำจากท่อลงสู่คลอง
โดยชัชชาติกล่าวภายหลังการหารือว่า สำหรับการขอความร่วมมือและจัดซื้อจัดจ้างส่วนงานขุดลอกท่อระบายน้ำร่วมกับกรมราชทัณฑ์ โดยจะนำผู้ต้องขังมาช่วยงานขุดลอกถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะที่ผ่านมาจากการลงพื้นที่พบเจอชาวบ้านได้รับคำชื่นชมว่ากรมราชทัณฑ์ควบคุมคุณภาพการลอกท่อของผู้ต้องขังออกมาได้ดีเสมอ
ซึ่งแต่ละชุมชนได้ถือโอกาสร่วมทำอาหารเลี้ยงผู้ต้องขังที่มาทำงานด้วย ส่วนตัวมองว่าการนำผู้ต้องขังออกมาทำงานขุดลอกท่อถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมพร้อมกับสร้างรายได้ และได้รับการพิจารณาลดโทษด้วย
ชัชชาติกล่าวว่า จากการพูดคุยร่วมกันวันนี้กับกรมราชทัณฑ์ ตนได้เน้นย้ำในเรื่องสิทธิมนุษยชนให้ปฏิบัติกับผู้ต้องขังเหมือนคนทั่วไป ทั้งส่วนของผลตอบแทนค่าแรง ความสมัครใจที่จะออกมาทำงาน ส่วนจะนำผู้ต้องขังออกมาช่วยมากน้อยได้แค่ไหน เรื่องนี้กรมราชทัณฑ์จะไปพิจารณา แต่สำหรับ กทม. เองมีจำนวนท่อระบายน้ำที่ต้องขุดลอก 6,564 กิโลเมตร แบ่งเป็นสำนักการระบายน้ำรับผิดชอบ 2,050 กิโลเมตร สำนักงานเขต 50 เขต รับผิดชอบ 4,514 กิโลเมตร
ซึ่งในปีงบประมาณ 2565 ได้กำหนดให้เริ่มการขุดลอกท่อระบายน้ำตั้งแต่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป โดยมีงบประมาณในการจัดการเรื่องนี้อย่างน้อย 15 ล้านบาท และตั้งเป้าภายใน 4 เดือน ต้องขุดลอกให้ได้ 400 กิโลเมตร ซึ่งเริ่มได้เลย 100 กิโลเมตร ส่วนเรื่องราคาการว่าจ้างนั้นทางกรมราชทัณฑ์จะพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหลังจากหารือวันนี้
ชัชชาติกล่าวต่อว่า หลังจากนี้ขอความร่วมมือประชาชนแต่ละพื้นที่หากพบเห็นว่ามีการขุดลอกท่อระบายน้ำ ขอให้ออกมาดูเพื่อจะได้เห็นปัญหาว่าสาเหตุที่ท่ออุดตันมาจากอะไรบ้าง เพราะส่วนหนึ่งที่พบมาจากการประกอบอาหารในครัวเรือน ประชาชนจะได้ช่วยกันป้องกัน ดูแล ไม่ทิ้งเศษอาหารลงตามท่อ หรือหันมาติดตั้งท่อดักไขมันตามบ้าน ก็จะช่วยลดการอุดตันท่อน้ำระยะยาวได้
ด้าน อายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวขอบคุณทางผู้ว่าฯ กทม. ที่ให้ความไว้วางใจผู้ต้องขังออกมาช่วยทำงาน หลังจากที่ไม่ได้ออกมาขุดลอกท่อแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้ให้ความสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชนทุกครั้ง ทั้งในส่วนของความสมัครใจและระบบสวัสดิการ เมื่อนำผู้ต้องขังออกมาทำประโยชน์เพื่อสังคมแล้วจะมีสวัสดิการดูแลทั้งค่าแรง อาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งนอกจากผู้ต้องขังจะได้ทำประโยชน์เพื่อสังคม ยังเป็นการปรับตัวก่อนพ้นโทษในอนาคต
อายุตม์กล่าวต่อว่า ทางกรมราชทัณฑ์จะทำการคัดเลือกนักโทษในกลุ่มชั้นเยี่ยม ชั้นดีมาก และดี รวมกว่า 1,000 คน จาก 10 เรือนจำ เพื่อออกมาช่วยงานขุดลอกท่อ ซึ่งทุกคนจะได้รับค่าจ้างร้อยละ 70 เก็บออมไว้ใช้หลังพ้นโทษ
ส่วนมาตรการป้องกันโควิด กรมราชทัณฑ์กำหนดให้ผู้ต้องขังทุกคนต้องรับการตรวจหาเชื้อโควิดแบบ ATK ทั้งก่อนออกมาและกลับเข้าเรือนจำทุกครั้ง และจะไม่อนุญาตให้ไปเดินซื้อของ หรือพบญาติทำกิจกรรมอื่นนอกจากจุดพักที่กำหนดไว้ให้ ทั้งนี้ ผู้ต้องขังทุกคนจะถูกคัดเลือกมาจากเรือนจำที่พ้นการแพร่ระบาดโควิดแล้ว และต้องรับวัคซีนครบตามกำหนด
