วันนี้ (11 สิงหาคม) พล.ต.ท. ภัคพงษ์ พงศ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) แถลงสรุปการชุมนุมของเครือข่ายแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่จัดกิจกรรมคาร์ม็อบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยจุดเริ่มต้นคือบริเวณแยกราชประสงค์ และเคลื่อนขบวนไปยังเส้นทางต่างๆ ได้แก่ ซิโน-ไทย ทาวเวอร์, ถนนพระราม 9 บริษัทของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และกลุ่มบริษัท King Power ซอยรางน้ำ ขณะที่บางส่วนเคลื่อนไปยังบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งบริเวณดังกล่าวเจ้าหน้าที่เกรงว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนโดยรอบได้ เจ้าหน้าที่จึงมีการประกาศเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมว่าการกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แต่กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้หนังสติ๊ก ลูกแก้ว และพลุ ยิงใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงมีการตอบโต้ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้น ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 นาย อีกทั้งจากการตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณโดยรอบการชุมนุม ตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มพกอาวุธ เช่น หนังสติ๊ก ลูกแก้ว ลูกเหล็ก เพื่อนำมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ชุมนุม
จากกรณีเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 48 คน เป็นชาย 45 คน หญิง 3 คน (ผู้ใหญ่ 33 คน เยาวชน 15 คน) โดยผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีในข้อหารวมตัวกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน, ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ไม่ทำตามคำสั่งเจ้าพนักงาน และเผาทำลายทรัพย์สิน โดยเจ้าหน้าที่จะพิจารณาข้อหาเป็นรายบุคคลไป
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 122 คัน บางส่วนพบว่าไม่มีป้ายทะเบียนและหนังสือจดทะเบียน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากพบว่ามาร่วมชุมนุมก็จะดำเนินคดี
พร้อมยืนยันว่าอาวุธที่เจ้าหน้าที่ใช้ ได้รับมาตรฐานสากลและถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนบริเวณใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เจ้าหน้าที่จะพยายามหลีกเลี่ยงเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
พล.ต.ท. ภัคพงศ์ เปิดเผยอีกว่า ตามที่กลุ่มทะลุฟ้ามีการประกาศนัดชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อไปกรมทหารราบที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิตในวันนี้ ยืนยันว่าตำรวจเตรียมกำลังและความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์แล้ว แม้จะพบว่าการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมามีการใช้กระสุนจริงกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชุมนุมแต่ตำรวจยังมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และตำรวจยังคงใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนตามหลักสากล โดยไม่ได้ใช้อาวุธปืน พร้อมทั้งยืนยันว่าตำรวจไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ชุมนุม เพียงแต่รักษาความสงบและบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่หากพบว่าสถานการณ์ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นการก่อจลาจลหรือก่อเหตุร้าย ก็จะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง พร้อมย้ำว่าขณะนี้ตำรวจยังควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้ ยังไม่ต้องขอกำลังสนับสนุนจากทหาร
ด้าน พล.ต.ต. จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) ยอมรับว่า การเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมเป็นคาร์ม็อบทำให้เกิดผลกระทบด้านการจราจรเป็นวงกว้าง เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายและเส้นทางไม่แน่นอน ประกอบกับมีการเผาทำลายตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจร เมื่อผู้ชุมนุมเลิกแล้วจึงไม่สามารถคุมสัญญาณไฟได้จนเกิดผลกระทบกว้างขึ้น ส่วนการชุมนุมในวันนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้แก่ ถนนพญาไท, ถนนพหลโยธิน, ถนนดินแดง, ถนนราชวิถี, ซอยพหลโยธิน 2, ทางลงทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และถนนวิภาวดีรังสิต ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงไปใช้ถนนรอบนอกเส้นทางดังกล่าว และสามารถติดตามข่าวสารได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ 1197 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางเว็บไซต์ www.trafficpolice.go.th หรือเฟซบุ๊ก 1197สายด่วนจราจร