รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตไฟป่าครั้งใหญ่รับปีใหม่ 2025 หลังเกิดไฟป่าลุกไหม้ในหลายพื้นที่และลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่ทีมนักดับเพลิงยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และจำกัดขอบเขตความเสียหายได้ โดย กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว
ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อนุมัติการประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลกลาง โดยจะสนับสนุนเงินทุนและระดมทรัพยากรด้านต่างๆ เพื่อช่วยแคลิฟอร์เนียรับมือกับวิกฤตไฟป่าในครั้งนี้
ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงแค่ไหน
สำนักงานป่าไม้และป้องกันอัคคีภัยของแคลิฟอร์เนีย (CAL FIRE) รายงานว่า ขณะนี้มีไฟป่าอย่างน้อย 6 แห่งในแคลิฟอร์เนียที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะไฟป่าในย่านแปซิฟิก พาลิเสดส์ หรือพาลิเสดส์ ไฟร์ (Palisades Fire) ที่สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 40,000 ไร่ และไฟป่าแถบหุบเขาอีตัน หรืออีตัน ไฟร์ (Eaton Fire) ที่เผาไหม้พื้นที่ไปแล้วอีกราว 27,000 ไร่ ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 วัน
เบื้องต้นทางการท้องถิ่นสั่งอพยพประชาชนกว่า 137,000 คนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว หลายครอบครัวจำใจต้องทิ้งบ้านและรถยนต์เพื่อเอาชีวิตรอด หลังไฟป่าลุกลามเข้ามายังเขตที่พักอาศัยอย่างรวดเร็ว แม้ทีมนักดับเพลิงกว่า 1,400 คนจะพยายามช่วยกันควบคุมเพลิงไว้แล้วก็ตาม
ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตจากวิกฤตไฟป่าครั้งนี้แล้วอย่างน้อย 5 คน โดยทางการแคลิฟอร์เนียคาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตและขอบเขตความเสียหายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านศูนย์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศโลกของ AccuWeather ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตไฟป่านี้ว่าอาจสูงถึง 5.2-5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.8-1.9 ล้านล้านบาท) โดย โจนาธาน พอร์เตอร์ หัวหน้านักอุตุนิยมวิทยาประจำ AccuWeather ระบุว่า หากจำนวนสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่ความเสียหายจากไฟป่ายังคงเพิ่มมากขึ้นภายในช่วงไม่กี่วันนี้ อาจทำให้วิกฤตไฟป่าครั้งนี้กลายเป็นวิกฤตไฟป่าครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของแคลิฟอร์เนีย
ขณะที่ AccuWeather ประเมินว่า ไฟป่าฮาวาย หรือเมาวี ไฟร์ (Maui Fire) เมื่อปี 2023 ซึ่งเป็นไฟป่าที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในรอบกว่า 100 ปี โดยคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 100 ชีวิต มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ที่ราว 1.3-1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.5-5.5 แสนล้านบาท) ซึ่งต่างจากตัวเลขประเมินความเสียหายของวิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียครั้งนี้ราว 3-4 เท่า
ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ทำไมถึงรุนแรง
แม้ว่าปัญหาไฟป่าจะไม่ใช่ปัญหาใหม่ในแคลิฟอร์เนีย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศก็ชี้ว่า มีอยู่อย่างน้อย 3 ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้ปัญหาไฟป่าที่ดูจะเป็นปัญหาเรื้อรังนี้ ปะทุกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ได้แก่
1) ลมซานตาอานา
ในเดือนที่แคลิฟอร์เนียมีสภาพอากาศเย็นลง มักนำพาสิ่งที่เรียกว่า ‘ลมซานตาอานา’ (Santa Ana Winds) มาด้วย กระแสลมนี้เป็นลมกระโชกแรงที่พัดมาจากพื้นที่แถบทะเลทรายอันกว้างใหญ่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ไปจนถึงทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย
กระแสลมนี้พัดพาความแห้งและลมอุ่นๆ พาดผ่านหลายพื้นที่ของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตรงข้ามกับมวลอากาศเย็นและความชื้นที่มักจะถูกพัดพาจากมหาสมุทรแปซิฟิกเข้าสู่ภาคพื้นของภูมิภาค
ลมซานตาอานาทำให้ความชื้นในพื้นที่แถบนั้นลดลง และมีส่วนเอื้อให้ไฟป่าแคลิฟอร์เนียลุกโชนได้ง่าย ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาสหรัฐฯ รายงานว่า ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วลม 129 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะแถบเทือกเขาหรือหุบเขาบางแห่งอาจวัดได้สูงถึง 161 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
2) ความแห้งแล้ง
ในช่วงฤดูหนาวนี้ แม้ว่าพื้นที่ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียจะได้รับความชื้นจากเม็ดฝนที่ตกลงมาอยู่บ้าง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียกลับแห้งแล้งมากเป็นพิเศษ ต้นไม้ต่างผลัดใบ ลดการคายน้ำ ส่วนใหญ่เหี่ยวเฉากลายเป็นเชื้อไฟที่ดีให้กับไฟป่า ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศชี้ว่า พื้นที่บางส่วนทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียอาจอยู่ในช่วงแห้งแล้งที่สุดที่ยาวนานกว่า 150 ปี
3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
ในขณะที่กระแสลมซานตาอานาและความแห้งแล้งทำให้ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงขึ้น แต่อิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) กำลังทำให้วิกฤตไฟป่าเกิดบ่อยครั้งขึ้น กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมากยิ่งขึ้น และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
นักวิจัยด้านสภาพอากาศระบุว่า แคลิฟอร์เนียกำลังเผชิญกับภัยแล้งที่ยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วิกฤตภัยแล้งครั้งใหญ่’ (Megadrought) ที่ครอบคลุมหลายพื้นที่ทั่วสหรัฐฯ พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า ภัยแล้งนี้อาจรุนแรงที่สุดในรอบอย่างน้อย 1,200 ปี
อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ โดยเฉพาะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้เกิดสภาพอากาศที่เอื้อต่อการลุกไหม้ของไฟป่า (Fire Weather) เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความชื้นลดลง พืชและพื้นดินส่วนใหญ่แห้งแล้ง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า พื้นที่ด้านตะวันตกของสหรัฐฯ เกิดไฟป่าบ่อยครั้งขึ้น และขยายตัวเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงที่ไฟป่าจะลุกลามมากขึ้น 25% ในแคลิฟอร์เนีย โดย 10 อันดับไฟป่าครั้งใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้มีถึง 5 อันดับที่เกิดขึ้นในปี 2020 เพียงแค่ปีเดียว
นอกจากนี้ นักวิจัยยังคำนวณว่า ภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์มีส่วนทำให้พื้นที่ความเสียหายจากเหตุไฟป่าในแคลิฟอร์เนียเพิ่มขึ้น 172% นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และคาดว่าพื้นที่ดังกล่าวจะขยายขอบเขตความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
ภาพ: Apu Gomes / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.gov.ca.gov/2025/01/07/governor-newsom-proclaims-state-of-emergency-meets-with-first-responders-in-pacific-palisades-amid-dangerous-fire-weather/
- https://www.voanews.com/a/biden-signs-emergency-declaration-for-california-wildfires/7930130.html
- https://calmatters.org/explainers/california-wildfire-season-worsening-explained/
- https://www.latimes.com/california/live/pacific-palisades-fire-updates-los-angeles
- https://edition.cnn.com/weather/live-news/los-angeles-pacific-palisades-eaton-wildfires-01-08-25/index.html?t=1736405195503
- https://www.aljazeera.com/news/liveblog/2025/1/8/los-angeles-wildfires-live-news-tens-of-thousands-flee-homes-in-california
- https://www.theguardian.com/us-news/2025/jan/08/fire-map-la-palisades-explainer