×

ซื้อทีหลังประหยัดกว่า! BYD หั่นราคา ATTO 3 MY2024 ท้าชนแบรนด์ญี่ปุ่น สร้างปรากฏการณ์สะเทือนใจลูกค้าเก่า

16.03.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • สถานการณ์ดูจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมายอีกครั้ง เมื่อพระเอกอย่าง BYD ATTO 3 ที่เคยส่งมอบรถไม่ทัน มีการเปิดตัวโฉมใหม่ ATTO 3 MY2024 พร้อมกับประกาศราคารุ่นเริ่มต้น 899,900 บาท ต่ำกว่าตัวก่อนหน้าถึง 200,000 บาท
  • “ปี 2567 เราตั้งเป้ายอดขายที่ 50,000 คัน” คำกล่าวของ ประธานวงศ์ พรประภา หัวเรือใหญ่ของเรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ในประเทศไทย เห็นได้ชัดว่าเป็นการลั่นกลองรบอย่างจริงจังเพื่อก้าวขึ้นสู่กลุ่มหัวตารางยอดขาย 
  • การตั้งราคาแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากว่า BYD จะสามารถผลิตได้ครบตามเงื่อนไขที่เซ็นสัญญากับภาครัฐเอาไว้ได้หรือไม่ เนื่องจากโรงงานยังไม่แล้วเสร็จ โดยมีการคาดหมายว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2567 โดยมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คัน

‘ซื้อก่อน ประหยัดก่อน’ วลีเด็ดของผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่แสดงให้เห็น คือจุดเด่นของการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่แล้วในช่วงปลายปี 2566 วลีดังกล่าวมีสร้อยเพิ่มเติมออกมาว่า ‘ซื้อก่อน ประหยัดก่อน ซื้อทีหลัง ประหยัดกว่า’ สืบเนื่องมาจากการประกาศลดราคาของผู้จำหน่ายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

วลีดังกล่าวถือว่าแพร่หลายบนโลกโซเชียล ซึ่งในช่วงแรกเหมือนเป็นการหยิกแกมหยอก แต่ ณ เวลานี้กลายเป็นคำพูดที่ดูจะสะเทือนใจผู้ซื้อและใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก่อนคนอื่นๆ โดยเฉพาะลูกค้าของ BYD ที่ถือว่าเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทย

 

ต้องยอมรับว่า BYD คือผู้สร้างกระแสรถยนต์ไฟฟ้าให้ถือกำเนิดอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดในประเทศไทย ภาพของการที่ลูกค้าไปรอดูรถคันจริงที่โชว์รูมตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง จนต้องมีการต่อคิวเป็นแถวยาว เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมานานมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย พร้อมกับยอดจองถล่มทลายเหนือความคาดหมาย

 

ล่าสุดสถานการณ์ดูจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมายอีกครั้ง เมื่อพระเอกอย่าง BYD ATTO 3 ที่เคยส่งมอบรถไม่ทัน มีการเปิดตัวโฉมใหม่ ATTO 3 MY2024 พร้อมกับประกาศราคารุ่นเริ่มต้น 899,900 บาท ต่ำกว่าตัวก่อนหน้าถึง 200,000 บาท กลายเป็นแรงกระเพื่อมระดับ ‘สึนามิ’ ก็ว่าได้ 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ผลลัพธ์ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว

 

ที่เราเรียกว่าเป็น ‘สึนามิ’ เนื่องจากแบรนด์จากญี่ปุ่นจะกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนทุกแบรนด์ เพราะทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัจจุบันรถแบรนด์ญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์ไทยมากกว่า 80% ของตลาดรวมทั้งหมด 

 

และด้วยขนาดมิติตัวถังของ ATTO 3 จัดอยู่ในกลุ่มของ SUV ที่คาบเกี่ยวระหว่าง B และ C Segment ซึ่งมีราคาอยู่ระหว่าง 800,000 กว่าบาท ไปจนถึง 1,700,000 บาท  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วราคารถประเภทนี้ของแบรนด์ญี่ปุ่นจะเกิน 1,000,000 บาทขึ้นไป แต่เมื่อ ATTO 3 MY2024 เปิดตัวด้วยราคาดังกล่าว สามารถดึงความสนใจของผู้บริโภคที่กำลังมองหารถไว้ใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มคนที่พร้อมเปิดใจรับแบรนด์ใหม่ และกลุ่มคนที่คำนึงถึงคำว่า ‘คุ้มค่า’ เป็นหลัก 

 

เหนืออื่นใด การตั้งราคาดังกล่าวยังเป็นการสกัดบรรดาคู่แข่งเพื่อนร่วมชาติ ที่มีแผนการจะเข้ามาร่วมชิงเค้กในประเทศไทยต้องกลับไปทำการบ้านกันใหม่อีกครั้ง เพราะราคานี้กลายเป็นบรรทัดฐานให้กับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่คิดจะเปิดตัวในอนาคต หากไม่ดีกว่าอย่าได้คิดที่จะตั้งราคามากกว่านี้ 

 

 

“ปี 2567 เราตั้งเป้ายอดขายที่ 50,000 คัน” คำกล่าวของ ประธานวงศ์ พรประภา หัวเรือใหญ่ของเรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD ในประเทศไทย เห็นได้ชัดว่าเป็นการลั่นกลองรบอย่างจริงจังเพื่อก้าวขึ้นสู่กลุ่มหัวตารางยอดขาย หลังเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยยอดขายรวมในปีที่ผ่านมากว่า 30,000 คัน โดยครั้งนี้คือการสู้กับรถที่ใช้น้ำมันและรถไฮบริดโดยตรง

 

ในทางกลับกัน ฤ นี่คือจุดอิ่มตัว

 

‘ถ้าสินค้าขายได้ ไม่มีเหตุใดที่จำต้องลดราคา’ เป็นคำกล่าวที่เชื่อว่าทุกคนทราบเป็นอย่างดี ถ้าของเราขายได้ดีอยู่แล้วจะลดราคาลงเพื่อจุดประสงค์ใด ฉะนั้นจึงอดคิดไม่ได้ว่า ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว แท้จริงแล้วมันอาจเป็นเพียง ‘ไฟไหม้ฟาง’ ที่ผู้บริโภคอยากลองใช้ของใหม่ๆ 

 

ซึ่งคนกลุ่มนี้ซื้อและใช้งานสมความต้องการแล้ว จึงเหลือผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ที่ต้องใช้ปัจจัยเสริมพิเศษในการดึงให้เขาเหล่านั้นมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งราคาคือปัจจัยแรกที่ช่วยได้

 

เงื่อนไขการสนับสนุนจากรัฐ

 

ทั้งนี้ ยังมีเงื่อนไขบางอย่างที่จำเป็นต้องกล่าวถึงคือ BYD จำเป็นที่จะต้องผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้าตามมาตรการสนับสนุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ BYD เข้าร่วม ( ผลิตชดเชย 1 เท่าภายในปีแรก หรือ 1.5 เท่าภายใน 2 ปี โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นรุ่นเดียวกัน) แต่ ATTO 3 MY2024 ยังเป็นเวอร์ชันนำเข้าจากจีน โดยได้รับการสนับสนุนตามโครงการ EV 3.5 

 

การลดราคาระดับ 2 แสนบาท จะยิ่งทำให้การผลิตชดเชยการนำเข้าเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะต้องผลิตจำนวนเท่ากันหรือมากกว่าจำนวนที่ขายไป หรือคิดง่ายๆ ตามโครงการ EV 3.0 ที่จบไป BYD ต้องผลิตให้ได้มากกว่า 30,000 คัน และยังมีโครงการที่สอง EV 3.5 ที่เข้าร่วมและประกาศนำเข้ามาจำหน่ายแล้ว ยิ่งขายมากยิ่งต้องผลิตมากขึ้นเป็นเงาตามตัว มิฉะนั้นจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากภาครัฐ

 

ดังนั้นการตั้งราคาแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากว่า BYD จะสามารถผลิตได้ครบตามเงื่อนไขที่เซ็นสัญญากับภาครัฐเอาไว้ได้หรือไม่ เนื่องจากโรงงานยังไม่แล้วเสร็จ โดยมีการคาดหมายว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2567 โดยมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คัน (กำลังการผลิตกับการผลิตจริงเป็นคนละส่วนกัน เหมือนแรงม้าสูงสุดที่เวลาเราขับรถเราก็ไม่ได้ใช้แรงม้าสูงสุดตลอดเวลา)

 

 

การผลิตคือส่วนหนึ่ง และการขายแยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง การที่ BYD รุกหนักแบบนี้ แสดงว่ามีความมั่นใจมากว่าจะทำสำเร็จทั้งด้านการผลิตและการขาย ซึ่งตามการแถลงเมื่อครั้งเปิดตัว BYD ตั้งใจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวาส่งออกจำหน่ายทั่วโลก ถ้าทำได้จริงตามแผนที่ประกาศไว้ทั้งหมด ทิศทางของ BYD จะสดใสอย่างไม่ต้องกังวลใดๆ 

 

อนึ่ง มีจุดที่น่าสังเกตอยู่อีกประการคือ การได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพียง 100,000 บาท (โครงการ EV 3.0 เดิมอุดหนุน 150,000 บาท) แต่ BYD สามารถทำราคาให้ต่ำลงมาได้ แม้เงินสนับสนุนจะน้อยลงแต่ยังทำราคาลดลงได้ ตีความได้สองทาง หนึ่งคือ BYD ตั้งใจคืนกำไรให้ลูกค้า หรือราคาเดิมนั้นมีกำไรมิใช่น้อย

 

‘Build Your Dream’ คือชื่อเต็มของ BYD ที่แปลว่า มาสร้างความฝันให้เป็นจริงกัน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising