หากเปรียบองค์กรเป็นร่างกายของมนุษย์ อวัยวะแต่ละส่วนหรือบุคลากรแต่ละฝ่าย/แผนกก็มีหน้าที่แตกต่างกัน และมีความสำคัญในช่วงเวลาที่จำเพาะเจาะจงตามสถานการณ์และการใช้ชีวิต
องค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลเมื่อแผนกต่างๆ ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน เช่นเดียวกับร่างกายที่ยังแข็งแรงจึงสามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม
ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป เช่นเดียวกับที่ร่างกายมนุษย์มีอายุมากขึ้นและอ่อนแอต่อการเจ็บป่วย องค์กรต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเจออุปสรรคเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทคโนโลยีมีวิวัฒนาการและรสนิยมเปลี่ยนไป องค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีก็อาจล้มเหลวได้ในที่สุด
องค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเติบโต ความก้าวหน้า และการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การไล่ตามเป้าหมายเหล่านี้อย่างไม่ลดละ บางครั้งอาจทำให้พนักงานมีภาระมากเกินไป คล้ายกับอวัยวะภายในร่างกายที่ตึงเครียด ความเครียดนี้สามารถขัดขวางการพัฒนาซึ่งนำไปสู่รูปแบบหนึ่งของความเสื่อมโทรมขององค์กร
ด้วยเหตุนี้องค์กรที่มีแนวคิดก้าวหน้าหลายแห่งจึงเริ่มขยายการดำเนินงานให้นอกเหนือจากการปรับกลยุทธ์ในทันที แต่พวกเขาพยายามเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะและแก้ไขจุดอ่อนภายในกำลังคนของตน ซึ่งทำให้องค์กรสามารถก้าวทันกับเวลาที่เปลี่ยนแปลงได้
การมองการณ์ไกลนี้มักเกิดขึ้นได้จากการให้บุคลากรเข้ารับการอบรม เช่น การเข้ารับการปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หลักสูตรฝึกอบรมเหล่านี้มักมีราคาแพง และความรู้ที่ได้รับอาจไม่ได้นำไปใช้จริงในที่ทำงานเสมอไป
ข้อบกพร่องเหล่านี้นำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพ สถิติเปิดเผยว่ามีพนักงานเพียง 12% เท่านั้นที่สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมไปใช้ในการทำงานได้ ดังนั้นบริษัทต่างๆ จึงสูญเสียเงินประมาณ 13.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 475 ล้านบาทต่อพนักงาน 1,000 คน ไปกับการฝึกอบรมที่ไม่ได้ผลในทุกปี
สำหรับ SEAC (ซีแอค) บอกว่าตัวเองทำงานเหมือนกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ โดยวินิจฉัยและรักษาความเจ็บป่วยภายในองค์กร ก่อนที่ปัญหาเหล่านี้จะดำเนินไปถึงขั้นวิกฤต
ปกติแล้วเมื่อผู้ป่วยไปหา หมอจะไม่ตั้งข้อสันนิษฐานหรือให้การวินิจฉัยทั่วไป พวกเขาพยายามที่จะเข้าใจอาการของผู้ป่วยแทน ในทำนองเดียวกัน SEAC จะไม่ได้นำเสนอโซลูชันที่หาซื้อได้ทันที แต่ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Contextualize ซึ่งเจาะลึกเข้าไปในความท้าทายเฉพาะขององค์กร
การทำความเข้าใจว่าองค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนกัน SEAC รับฟังและซึมซับปัญหาที่นำเสนอ เหมือนกับแพทย์ที่รับฟังอาการของผู้ป่วย ซึ่งอาจครอบคลุมตั้งแต่การลาออกของพนักงานที่สูงไปจนถึงปัญหาด้านการสื่อสารภายในองค์กร
เมื่อมีความเข้าใจอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับอาการขององค์กรแล้วก็จะสามารถรักษาอย่างตรงจุดได้ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า 6 Learning Labs เหมือนกระบวนการหลังสั่งจ่ายยา คอยให้ความเข้าใจว่า ‘อะไรใช่ และอะไรไม่ใช่’ สำหรับองค์กร เพื่อที่จะทำให้อาการป่วยนั้นไม่ยืดเยื้อจนเข้าสู่ภาวะวิกฤต
