×

โบรกเกอร์คาด ไตรมาส 3 กำไร บจ. ยังหดตัว 12.7%

16.11.2020
  • LOADING...
โบรกเกอร์คาด ไตรมาส 3 กำไร บจ. ยังหดตัว 12.7%

นักวิเคราะห์ประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 มีโอกาสกลับมาแตะระดับ 2 แสนล้านบาท แม้ยังติดลบ 12.7% จากปีก่อน แต่เป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2563 ซึ่งทำได้ 8 หมื่นล้านบาท และ 1.17 แสนล้านบาท ตามลำดับ 

 

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล. เอเซียพลัส คาดการณ์ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับไตรมาส 3 ปี 2563 น่าจะทำได้ราว 2 แสนล้านบาท ลดลง 12.7% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ที่ทำได้ 2.29 แสนล้านบาท

 

อย่างไรก็ดี แนวโน้มกำไรของหุ้นในตลาดยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากที่ไตรมาส 1 ปี 2563 ทำได้ 8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.17 แสนล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 ส่วนไตรมาส 4 ปี 2563 คาดว่าจะทำได้สูงกว่า 2 แสนล้านบาท

 

“สำหรับกำไรในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยังใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยตัวเลข ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ตัวเลขกำไรของบริษัทจดทะเบียนประมาณ 53% ทะลุ 1 แสนล้านบาทแล้ว ทำให้รวมทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งศักยภาพของ บจ. ไทย ควรทำกำไรได้เกิน 2 แสนล้านบาทต่อไตรมาส โดยที่ผ่านมากำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 2.2-2.5 แสนล้านบาทต่อไตรมาส และเคยทำได้สูงสุด 2.9 แสนล้านบาท”

 

ทั้งนี้ มีโอกาสที่กำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2563 จะออกมาดีกว่าที่ Consensus ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนใหญ่ประเมินกันไว้ไม่ถึง 2 แสนล้านบาท แต่เมื่อดูจากตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวเลข พบว่า ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับ บล. เอเซียพลัส คาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งปี 2563 ไว้ที่ 6.1 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 52.6 บาท ส่วนปี 2564 คาดว่าจะเติบโตได้ 28%

 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณของการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2564 ขึ้น ล่าสุดยังอยู่ที่ 78.4 บาทต่อหุ้น ทำให้ในเชิงกลยุทธ์เรายังคงแนะนำชะลอการลงทุนต่อไปจนกว่ามูลค่าหุ้นจะลงไปอยู่ในระดับที่น่าสนใจใหม่ ส่วนผู้ที่เปิดสถานะ Short ใน Index Futures สามารถถือครองสถานะดังกล่าวไว้ได้

 

สำหรับในรายของตัวหุ้นนั้น หากผู้ที่ต้องการเข้าซื้อหุ้นในช่วงนี้จริงๆ มองว่าอาจต้องเริ่มหันมาโฟกัสหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้น หลังราคายังคงปรับตัวช้ากว่า (Laggard) ในรอบนี้ ซึ่งดัชนี SET ขึ้นมาจากระดับ 1,200 จุด โดยเราประเมินว่ามีระดับความเสี่ยงขาลงที่ต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่

 

“แม้ว่าหุ้นขนาดใหญ่อาจยังคงได้รับ Sentiment เชิงบวกในระยะสั้นจากกระแส Fund Flow แต่ในมิติของ Valuation นั้นต้องบอกว่าบางกลุ่มอุตสาหกรรมปรับสูงขึ้นมาเกินกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังแล้ว ด้วยเหตุนี้ในช่วงถัดไปตัวหุ้นอาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรหรือเป็นเป้าหมายของการชอร์ตเซลได้”

 

สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงดังกล่าว ได้แก่ 

 

  1. กลุ่มน้ำมัน โดยหุ้นที่ Valuation ของปีหน้าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยขึ้นไปแล้ว อย่างเช่น บมจ. ปตท. (PTT), บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) เป็นต้น 

 

  1. กลุ่มท่องเที่ยว โดยหุ้นที่ Valuation ของปีหน้าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยขึ้นไปแล้ว อย่างเช่น บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC), บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL), บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) เป็นต้น

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising