×

โบรกฟันธงดัชนีทะลุ 1,500 จุด! ต่างชาติลุยซื้ออีก 6.6 พันล้านบาท

08.12.2020
  • LOADING...
โบรกฟันธงดัชนีทะลุ 1,500 จุด! ต่างชาติลุยซื้ออีก 6.6 พันล้านบาท

ดัชนีหุ้นไทย (SET) ล่าสุด วันที่ 8 ธันวาคม 2563 ขยับขึ้นมาปิดที่ 1,478.92 จุด +29.09 จุด หรือ 1.79% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.23 แสนล้านบาท หนุนจากหุ้น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ 8.6 จุด กลุ่มพลังงาน 4.9 จุด และกลุ่มธนาคาร 4.5 จุด

สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย มองว่า โอกาสที่ดัชนีหุ้นไทย (SET) จะทะลุ 1,500 จุด มีค่อนข้างสูง หากย้อนดูตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ดัชนี SET เพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค +23% และอาจจะเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในโลก เทียบกับดัชนี MSCI World +13% และดัชนี MSCI Emerging Market +12% อย่างไรก็ตาม หากมองตั้งแต่ต้นปี 2563 ดัชนี SET ยังคง -6% ปรับตัวได้แย่กว่าค่าเฉลี่ยของตลาด Emerging Market

ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาท แต่จะเห็นว่าตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พลิกกลับมาซื้อสุทธิราว 4 หมื่นล้านบาท โดยวันล่าสุดต่างชาติซื้อสุทธิอีก 6.68 พันล้านบาท เป็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน นอกจากนี้เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติหลังจากที่ลดลงไปต่ำสุดที่ 26.99% ปัจจุบันขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 28% แต่ก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่สูงกว่า 30%

“โดยภาพรวมแล้วเชื่อว่าดัชนี SET ในช่วงเปลี่ยนถ่ายระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมน่าจะเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,520 จุดได้ โดยในช่วงปลายปีจนถึงต้นปี 2564 เรายังมีมุมมองเชิงบวกกับภูมิภาคอาเซียน เพราะที่ผ่านมาถูกกระทบหนักสุด (จากโควิด-19) เนื่องจากเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและส่งออก แต่เมื่อมีวัคซีนแล้ว จะเห็นการเปลี่ยนถ่ายการลงทุนจากหุ้น Growth มาสู่หุ้น Value ซึ่งไทยและอินโดนีเซียมีสัดส่วนหุ้น Value สูงสุดในภูมิภาคราว 52%”

ล่าสุด อินโดนีเซียเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากประเทศจีน ทำให้เราน่าจะเห็นการโยกย้ายเงินลงทุนจากเอเชียเหนือมาสู่เอเชียใต้มากขึ้น รวมถึงจากประเทศฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐฯ และยุโรปมายังฝั่งเอเชีย ซึ่งในฝั่งตะวันตกเริ่มเข้าสู่การล็อกดาวน์และเริ่มเห็นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่รายงานออกมาไม่ดีนัก

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ มองว่า ‘ธนาคาร’ น่าจะยังปรับตัวขึ้นต่อได้ แม้จะขึ้นมาค่อนข้างมาก แต่โดยรวมทั้งปียังเป็นกลุ่มที่ติดลบหนักสุดราว -21% ส่วนกลุ่มขนาดกลางมองว่ากลุ่ม ‘การเงิน’ (FIN) มีความน่าสนใจ โดยมีหุ้นเด่นอย่าง บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) และ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ส่วนช่วงปลายปีอาจจะเห็นเงินทุนไหลเข้ากลุ่มสื่อสาร ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ยังคง laggard โดยมีหุ้นน่าสนใจคือ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH)

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นในวันนี้หนุนจากความเชื่อมั่นต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายขายสุทธิมาต่อเนื่อง โดยรวมจึงเชื่อว่า Fund Flow จะช่วยประคองตลาดได้

“ก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติ Underweight หุ้นไทยมาตลอด แต่ล่าสุดเริ่มกลับมา Overweight บ้างแล้ว แต่ในช่วงปลายปีซึ่งปกติการซื้อขายจะเบาบางลง อาจจะเป็นช่วงที่ตลาดเริ่มพักฐานหลังจากจบสัปดาห์นี้ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนมองว่าควรเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งจะยังมีปัจจัยหนุนเฉพาะ อาทิ STGT SAWAD KCE HTC และ SNC”

ด้าน บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ในเชิงกลยุทธ์ เรายังคงแบ่งแนวทางการลงทุนเป็น 2 รูปแบบคือ 1. สำหรับนักลงทุนระยะสั้น สามารถเก็งกำไรไปกับหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ที่อิงกับปัจจัยภายนอกอย่างปิโตรเคมีและพลังงาน ตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบยังคงทรงตัวได้อยู่ในระดับสูง โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้คือ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เพียงตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากยังคงซื้อขายด้วย Forward P/BV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอยู่

2. สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาวนั้น มองว่าสามารถชะลอการลงทุนไปก่อนได้ ในสภาวะที่มูลค่า (Valuation) ของ SET อยู่ในระดับที่ร้อนแรงมากแล้ว อย่างไรก็ดี หากต้องการเข้าลงทุนในช่วงนี้ มองไปยังกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth) ที่อิงกับปัจจัยภายนอก ที่ช่วงที่ผ่านมาราคายังปรับตัวได้แย่กว่าตลาด (Laggard) โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้เลือก บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ที่ราคาปัจจุบันยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของเราในเชิงพื้นฐานที่ 45.50 บาท

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising