×

BNK48-CGM48 ค้นหา ‘ตัวตน’ อีกด้านผ่านบทเพลง ‘ที่หนึ่งตรงนั้น เป็นฉันได้ไหม’

11.04.2024
  • LOADING...
BNK48-CGM48

เมื่อเร็วๆ นี้ BNK48 วงไอดอลชื่อดังได้ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง Dare no Koto wo Ichiban Aishiteru? – ที่หนึ่งตรงนั้น เป็นฉันได้ไหม? จากยูนิต Under Girls ที่มาจากอีเวนต์ BNK48 16th Single Senbatsu General Election ออกมาให้แฟนๆ ได้รับชม รับฟัง

 

โดยเพลงนี้มีจุดน่าสนใจอยู่ที่สไตล์และคาแรกเตอร์ที่ฉีกจากภาพไอดอลที่เน้นความสดใสอย่างสิ้นเชิง ผ่านท่วงทำนองเพลงที่เร้าใจ เนื้อหาที่มีความหมายเชือดเฉือน และท่าเต้นสุดเท่ ซึ่งสมาชิกทั้ง 16 คนสามารถถ่ายทอดอินเนอร์และอารมณ์ร่วมที่มีต่อเพลงออกมาได้อย่างน่าสนใจ

 

และอีกเช่นเคย THE STANDARD POP ได้โอกาสเปิดบ้านต้อนรับ 6 สาวตัวแทนจากซิงเกิลยูนิต Under Girls อย่าง ลูกเกด-พิมพ์ลภัส สุวรรณน้อย, แอล-สิริกร นิลกษาปน์, ฟอร์จูน-ปัณฑิตา คูณทวี, ข้าวฟ่าง-ญาณิศา เมืองคำ, เหมย-รพีพรรณ แช่มเจริญ และ พีค-ภูษิตา วัฒนากรแก้ว ที่นอกจากจะแวะเวียนมาฝากผลงานเพลงใหม่แล้ว พวกเธอยังได้เล่าเรื่องสนุกๆ จากการทำงานครั้งนี้ ไปจนถึงเปิดเผยความรู้สึก ตัวตนจากมุมมองที่ต่างออกไป ที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน

 

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา…เรามาคุยกับพวกเธอไปพร้อมๆ กันเลย 

 

BNK48-CGM48

 

เจาะลึกความหมายเพลง ที่หนึ่งตรงนั้น เป็นฉันได้ไหม?

 

ลูกเกด: ต้องบอกก่อนว่าหนูมีส่วนร่วมในการเลือกเพลงนี้ ตอนแรกก็คิดหนักว่าจะเอาเพลงอะไรดี เพราะส่วนตัวหนูรู้จักเพลงค่อนข้างน้อย ซึ่งหนูก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามันมีเพลงที่เขาเอาเมมเบอร์จากสองวงมารวมกันทำโปรเจกต์นี้ Sakamichi AKB ก็เลยรู้สึกว่าเราก็เลือกเพลงมาใหญ่เหมือนกัน แล้วพอได้ประกาศออกไปให้แฟนๆ รับทราบว่า Under Girls จะเป็นเพลงนี้ ได้เริ่มเห็นความคาดหวังของแฟนๆ แล้วตอนที่เราโชว์ First Performance กระแสตอบรับก็ค่อนข้างดี 

 

ส่วนความหมายของเพลงนี้มันตีความได้หลายอย่าง ถ้าแปลตรงๆ ก็คือ ฉันอยากเป็นที่หนึ่งในใจเธอ แต่เนื้อหามันไม่ได้เจาะจงขนาดนั้น ในเนื้อเพลงก็จะมีท่อนที่แสดงออกถึงความท้อ ปล่อยใจล่องลอย แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะฮึดสู้กลับมาเพื่อจะเป็นที่หนึ่งให้ได้ 

 

การตีความหมายในมุมที่ต่างออกไปจากสมาชิกคนอื่น

 

พีค: สำหรับหนู หนูรู้สึกว่าเพลงนี้มันให้ความกดดัน ความหนักหน่วง เหมือนเราแบกเป้าหมายของเราสักอย่างไว้ เพื่อที่จะก้าวขึ้นไปข้างบน ซึ่งเรายังทำไม่ได้สักที แต่เราก็ยังคงพยายามที่จะทำมันต่อไป

 

ฟอร์จูน: สำหรับหนูเพลงนี้มาในช่วงที่กำลังดู Attack on Titan มันอาจจะฟังดูเบียวหน่อยๆ แต่หนูก็ขอบคุณตัวเองที่ได้ดูเรื่องนี้ในเวลานี้พอดี ด้วยความที่เพลงนี้เป็นเพลงญี่ปุ่นด้วย แล้วอนิเมะที่เราดูเป็นของญี่ปุ่นด้วย หนูเปรียบตัวเองเป็นมิคาสะ ถึงทุกคนจะบอกว่าหนูเป็นไททันก็ตาม (หัวเราะ) มิคาสะคือตัวละครที่หนูมองว่าเขามีคาแรกเตอร์ตรงกับเพลงนี้ มีความนิ่งและเยือกเย็นมาก ถ้าเขาจะต้องปลิดชีพใครเขาจะไม่ลังเล

 

ข้าวฟ่าง: หนูมองเป็นเพลงเศร้า รู้สึกว่าเพลงมันแสดงความเจ็บปวดจนถึงขั้นที่เราเป็นโรคจิต (Psychopath) ถ้าฟังต้นฉบับนี่คือเพลงที่เนื้อหาแรงมาก แต่ว่าเราเอามาแปลไทยให้ได้เนื้อหาที่ซอฟต์ที่สุด 

 

 

แต่ละคนชอบเพลงท่อนไหนกันบ้าง

 

ฟอร์จูน: ของหนูเป็นท่อน “ความรักมันทำให้ฉันเจ็บ แทบคลั่งตายข้างใน” รู้สึกว่าเหมือนชีวิตคนเรามันดำเนินไปด้วยความรัก เลยรู้สึกว่าความรักนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดในชีวิต รู้สึกว่ามันเป็นท่อนที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่ายผ่านมุมมองของแต่ละคน 

 

ข้าวฟ่าง: “แสนเจ็บเหลือเกิน มันทรมานไม่ไหวเลย เพราะว่าไม่เคย จะเป็นจะตายแล้วหัวใจ ความรักมันทำให้ฉันเจ็บ แทบคลั่งตายข้างใน” มันเหมือนฟีลอกหักทิพย์หน่อยๆ 

 

ลูกเกด: “แบกเอาไว้ แบกมันไว้ แบกเอาความเศร้า” มันเหมือนการแบกความเศร้าเอาไว้ที่เราคนเดียว มันเป็นช่วงที่เรารู้สึกเหมือนเราไม่เหลือใครแล้ว แต่จริงๆ คนรอบตัวเราก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เราก็ยังเลือกที่จะแบกรับมันไว้คนเดียว ก็เลยรู้สึกชอบท่อนนี้ 

 

เหมย: “กับสิ่งที่เป็นของฉันแต่ต้องสิ้นหวัง ต้องพังทุกครั้งเรื่อยไป ไม่ว่าผ่านมานานแค่ไหน” ฟังดูแล้วมันรู้สึกบีบหัวใจอยู่นิดหนึ่ง เหมือนการที่เราอยากจะครอบครองใครคนนั้นที่พูดถึงในเพลงนี้ แต่ท้ายที่สุดเราจะได้ครอบครองเขาหรือไม่ก็ไม่รู้ มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่เหมือนใจสลาย 

 

แอล: หนูชอบท่อนเดียวกับพี่ข้าวฟ่างเลยค่ะ เพราะมันเป็นท่อนที่หนูได้ร้องด้วย ตอนที่ได้ร้องท่อนนั้นรู้สึกว่าหนูมีความอินมาก จนตอนที่อัดเสียงหนูถึงกับร้องไห้เลยหลังจากที่ร้องเสร็จ เพราะรู้สึกว่ามันเจ็บปวดตามเนื้อเพลงมาก 

 

พีค: “ก็ฉันทำได้แค่นี้ เป็นที่หนึ่งไม่ได้สักที แต่ก็รู้จะให้ทำไงดี ฉันต้องทำยังไง” มันให้ความรู้สึกว่าเรากำลังอยากได้บางสิ่งบางอย่าง เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้มา ทั้งที่เราพยายามฮึดสู้หรือแบกความกดดันเอาไว้ทุกอย่าง ซึ่งทำอย่างไรก็ยังไม่ได้มา ก็เลยเป็นการตั้งคำถามว่า สรุปแล้วเราต้องทำอย่างไร 

 

BNK48-CGM48

 

เล่าบรรยากาศการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอให้ฟังหน่อย

 

ข้าวฟ่าง: ด้วยความที่เพลงของเราเน้น Performance อยู่แล้ว เน้นท่าเต้น ก็เลยรู้สึกเป็นการถ่ายทำที่ถ่ายช็อตเต้นไปเยอะมากๆ เรียกว่าเก็บกันทุกมุม แล้วก็เต้นหลายรอบนิดหนึ่ง แต่จริงๆ ก็ไม่นิดเท่าไร (หัวเราะ) ต้องถามแอลเลยค่ะ ลงไปคลุกอยู่กับพื้นเป็น 10 รอบ 

 

แอล: เพลงนี้มีท่าโซโล่ สถานที่ที่เราไปถ่ายเป็นพื้นคอนกรีต แล้วหนูมีท่าเต้นที่เข่าจะต้องไปโดนกับพื้น แล้วชุดมันคือถุงน่อง หนูต้องเต้นแบบใส่สุดโดยที่ต้องรักษาถุงน่องเอาไว้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างยากเหมือนกัน 

 

ลูกเกด: ก่อนถ่ายทำก็มีการนัดแนะกันว่าเราจะเน้นที่ Performance แต่ก็ไม่คิดว่าอากาศตอนนั้นจะร้อนขนาดนี้ มันเป็นความร้อนแบบร้อนอบอ้าว เป็นการทำงานที่สนุกและสู้ชีวิตมาก (หัวเราะ)

 

ด้วยความที่เพลงนี้เป็นเพลงที่ต้องทำหน้าดุ หน้าขรึม ตลอดเวลา เลยอยากทราบว่าทั้ง 6 คนจินตนาการถึงเรื่องอะไรอยู่ ณ ตอนที่แสดงสีหน้านั้นขณะถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ

 

ฟอร์จูน: เรื่องนี้หนูขอแชร์เลยค่ะ ด้วยความที่เพลงนี้เต้นเยอะ แล้วเพลงนี้เราต้องแสดงสีหน้าของความโกรธออกมา แล้วคนที่อยู่หลังกล้องตะโกนมาเยอะมาก ขรึมอีก! แรงอีก! แล้วในใจหนูน่ะเริ่มมีความรู้สึกโกรธคนหลังกล้อง (หัวเราะ) แล้วก็คิดในใจว่า เมื่อไรจะให้หนูหยุดเต้นสักที คือเหนื่อยกันจนไม่ไหวแล้ว หนูก็น่าจะถามในใจว่าจะเอาแรงแค่ไหนอีก! (หัวเราะ) หนูไม่ได้ตะโกนออกไปนะ แต่มันเป็นคำพูดที่ผ่านมาจากดวงตาของหนูแน่นอน ณ ตอนนั้น และด้วยความที่เพลงนี้มี Acting Coach เข้ามาช่วยบิลด์อารมณ์ให้ศิลปิน เลยทำให้หนูรู้สึกว่าเพลงนี้มันจะออกมาดีแน่นอน 

 

พีค: หนูรู้สึกว่าเขาจะชอบพูดว่า “เต้นรอบนี้ได้พักเลย กลับเลย” พูดคำว่ากลับเร็วตั้งแต่บ่าย 3 ลากไปถึง 6 โมงเย็น (หัวเราะ) แล้วเป็นการเต้นแบบเต็มเพลงแทบจะทุกเทกเลย 

 

เหมย: หนูเป็นชาวแถวหลัง แล้วจะเป็นคนที่โดนบรีฟจาก นิกี้ BNK48 อยู่ตลอด พี่เหมยเอาอีก ใส่แรงอีก ในใจก็ได้แต่คิดว่าเอาอีกเหรอ? ไม่ไหวแล้วนะ (หัวเราะ) เป็นฟีลแบบดีแล้วแต่ขออีกรอบ 

 

 

คาแรกเตอร์ที่นำมาสวมบทบาทในเพลงนี้ มีความเหมือนหรือแตกต่างจากตัวตนของเราแค่ไหน

 

ลูกเกด: ถ้าของหนูมันมีความ 50/50 แล้วกัน เหมือนช่วงนี้ด้วยความที่เราอยู่ในช่วงวัยที่มันโตขึ้น ความรับผิดชอบก็เยอะขึ้น จะมาง้องๆ แง้งๆ เหมือนกับตอนเป็นเด็กก็ไม่ได้ แล้วมันมีอะไรหลายอย่างที่เรายังต้องแบกมันไว้ บวกกับการอยู่วงนี้ของเราก็มีการตั้งเป้าหมายที่ในความเป็นจริงเรายังไปไม่ถึง ซึ่งมันก็จะสอดคล้องกับชีวิตหนูตรงที่มันก็จะมีมุมที่เครียดบ้าง สดใสบ้าง เพราะหนูรู้สึกว่าชีวิตเราไม่ได้อยู่กับความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่งตลอดเวลาร้อยเปอร์เซ็นต์ 

 

แอล: ในช่วงที่หนูทำหน้าไร้อารมณ์ ใบหน้าที่เจ็บปวด ในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ก็รู้สึกว่าเป็นทางของหนูอยู่นิดหนึ่ง ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมีมุมแบบนี้ด้วย แต่ถ้าถามว่าคาแรกเตอร์ของเพลงนี้เหมือนตัวตนของเราไหม ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะตัวหนูยังถนัดแสดงออกถึงความสดใสมากกว่า 

 

ฟอร์จูน: ด้วยความที่คาแรกเตอร์นี้มีความเท่ หนูก็อยากขอบคุณตัวเองที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในเพลงนี้ เพราะเป็นเพลงที่มีคาแรกเตอร์ของตัวเองอยู่เยอะ อย่างความหล่อเท่แบบคุณชายรณพีร์ (หัวเราะ) 

 

เหมย: รู้สึกว่าคาแรกเตอร์ที่ใส่ในเพลงนี้คล้ายตัวหนูอยู่แค่เรื่องเดียวเลยคือเรื่องการแข่งขัน ด้วยความที่เพลงนี้เล่าถึงความพยายามเพื่อที่จะเป็นที่หนึ่ง มันสอดคล้องกับที่หนูชอบการแข่งขันมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบเรียนหนังสือ ต้องการที่จะสอบได้อันดับดีๆ มันเป็นการแข่งขันที่หนูรู้สึกว่าไม่ได้แข่งกับคนอื่นมากขนาดนั้น แต่มันเป็นการแข่งกับตัวเองมากกว่า การที่ได้ลองใช้ความพยายามของตัวเองลงแข่งขัน เพื่อให้ได้รับผลการแข่งที่ดีหรือรางวัลใดก็ตาม มันทำให้รู้สึกมีความสุข เลยกลายเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน 

 

ข้าวฟ่าง: เพลงนี้ไม่ใช่ตัวหนูเลย ตอนที่รู้ว่าเพลงนี้เป็นแนวเท่ๆ รู้ตัวเองเลยว่าต้องยากแน่ๆ ต้องมีความท้าทายแน่ๆ ปกติหนูเต้นเพลงที่ยิ้มอย่างเดียว ขนาดวันขึ้นโชว์ First Performance หนูก็ไม่ได้ยิ้ม แค่ง้างปากร้องเพลงอย่างเดียว คนก็บอกว่าเห็นนะว่าหนูแอบยิ้มทั้งที่หนูไม่ได้ยิ้มเลย ถ้าหนูจำไม่ผิดช่วงที่ซ้อมเต้นเพลงนี้กับเพื่อน หนูก็มีคุยเล่นกับเพื่อนว่าหรือเราจะฉีกทางแบ๊วไปเลย (หัวเราะ) 

 

พอฝึกท่าเต้นเพลงนี้ก็ต้องมาฝึกทำหน้าใส่อารมณ์-อินเนอร์ตามเนื้อหาเพลง แล้วหนูแค่ทำหน้านิ่งทุกคนก็นั่งขำกันแล้ว แต่พอได้ลองเต้นไปเต้นมาก็มีแอบชอบเหมือนกัน มันก็ดูเท่ดีเหมือนกันนะ ดูสนุกดีนะแนวนี้ ก็ถือว่าดีใจที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ถึงจะดูไม่ใช่ตัวหนูก็ตาม

 

พีค: ถ้ามองตามเนื้อเพลงอาจจะไม่ใช่ตัวหนูขนาดนั้น แต่เรื่องของท่าทางหรือ Performance หนูรู้สึกว่าตัวเองถนัดทางนี้มากๆ เป็นคนชอบเต้นไลน์เต้นใหญ่ แล้วก็ดีใจมากที่พี่ลูกเกดเลือกเพลงนี้มา ตอนแรกก็ลุ้นว่าจะได้เพลงน่ารักอีกไหม พอรู้ว่าได้เพลงนี้มาก็ดีใจที่เราจะได้เพลงเท่ๆ มาเต้นบ้าง โดยรวมเพลงนี้เป็นเพลงที่ตรงกับคาแรกเตอร์ของหนูประมาณ 80% เลยค่ะ 

 

BNK48-CGM48

 

ด้วยความที่เพลงนี้มีท่อนหนึ่งที่ร้องว่า “ฉันต้องทำให้ได้…ทุกอย่างเพื่อเธอ…จะเป็นยังไงก็เพื่อเธอ” ซึ่งในอีกแง่มุมหนึ่งเพลงพูดถึงการลงแรง ลงมือทำได้ทุกอย่าง เพื่อสิ่งที่ต้องการ 

 

เราเลยอยากชวนทั้ง 6 คนมาแชร์ประสบการณ์ที่เคยลงมือทำอะไรบางอย่างด้วยความทุ่มเท ไม่เกี่ยวว่าสิ่งนั้นจะมีผลลัพธ์ที่สำเร็จหรือไม่ แต่ขอเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่เราตั้งใจลงมือทำ

 

ข้าวฟ่าง: ถ้าให้นึกถึงตอนนี้ก็คือเรื่องของเกียรตินิยมอันดับ 1 ค่ะ หนูเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการเรียนมาก แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตหนึ่งเราเรียนได้แค่ครั้งเดียว ก็อยากจะเรียนให้เต็มที่และคาดหวังว่าจะได้เกียรตินิยม ถึงภายนอกหนูจะดูเป็นคนที่ไม่เอาอะไรเลย แต่จริงๆ คือเต็มที่และจริงจังกับสิ่งที่ทำมาก 

 

อาจมีบางครั้งที่หน้าที่การงานหรือสภาพจิตใจไปกระทบกับคะแนนสอบ จนทำให้รู้สึกดาวน์ รู้สึกสิ่งต่างๆ ไม่เป็นดั่งใจ สุดท้ายก็บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าทำให้สิ่งที่ทำมามันเสียเปล่า ลองค่อยๆ พยายามอีกรอบ หรือลองหากำลังใจจากคนรอบข้าง ถือเป็นเป้าหมายในระยะนี้ที่หนูอยากทำให้สำเร็จให้ได้

 

ลูกเกด: หนูรู้สึกว่าตัวเองทุ่มเทกับการหาพื้นที่ให้ตัวเองเยอะมาก หลังจากเข้ามาอยู่ในวง CGM48 ตลอดชีวิตตั้งแต่อายุ 19 เป็นต้นมา หนูเคยได้ไปออดิชันกับหลายวงก่อนจะมาอยู่กับ CGM48 ในตอนนี้ ซึ่งก่อนหน้านั้นหนูไม่เคยไปถึงรอบไฟนอลเลยสักครั้ง หรือพูดง่ายๆ คือหนูไม่เคยถูกเลือกเลย 

 

มันก็มีช่วงที่แอบท้อและคิดว่าเราจะใช้เวลาที่เหลือกลับไปเรียนดีไหม แต่พอทาง CGM48 เปิดรับสมัครรุ่นที่ 2 ก็ยังมีลังเลว่าจะมาสมัครดีหรือเปล่า เพราะเป็นช่วงที่เราฝึกงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย หลังจากนั้นมีบินไปกลับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ในช่วงที่ออดิชัน และทำแบบนี้วนไปหลายรอบ พอทางวงประกาศว่าเราผ่านคัดเลือก ก็ยังมีอีกด่านสำคัญที่เราต้องทำให้ได้คือ การย้ายสถานที่ฝึกงานจากกรุงเทพฯ ไปฝึกอยู่เชียงใหม่ 

 

ช่วงแรกที่มาอยู่กับวง ด้วยความที่เรายังเป็น Trainee เราฝึกหนักมาก ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อไปฝึกงาน แล้วระหว่างวันก็ต้องแบ่งเวลามาซ้อม พอถึงตรงนี้เราเรียนจบแล้ว ก็รู้สึกดีใจที่เราทำสำเร็จ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราได้ลงแรงลงใจไปกับสิ่งนี้เยอะมาก 

 

แอล: ของหนูน่าจะเป็นเรื่องของการร้อง-การเต้น โดยพื้นฐานหนูเป็นคนที่ไม่สามารถตั้งใจทำอะไรบางอย่างได้นาน ก่อนเข้ามาอยู่ในวง BNK48 หนูเคยมีโอกาสได้ไปเรียนเต้น แต่เรียนได้แค่ 3 สัปดาห์ก็เลิก, เรียนเปียโนแป๊บเดียวก็เลิก 

 

แต่พอได้เข้ามาเป็นสมาชิกของวง หนูรู้สึกตัวว่าเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับการร้อง-การเต้นเยอะมากเลย เพราะเรายังมีคนที่คอยซัพพอร์ตเรา คอยตามเชียร์เราอยู่ ก็เลยเป็นความรู้สึกที่อยากจะพยายามทำให้เต็มที่ เป็นคนที่เก่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อตอบแทนคนที่คอยซัพพอร์ตเรา ทำให้เขาภูมิใจว่าเลือกเชียร์ถูกคนแล้ว แล้วที่สำคัญเลยคือ หนูไม่อยากทำให้เขารู้สึกผิดหวังด้วย 

 

ฟอร์จูน: มีเรื่องหนึ่งที่หนูอยากเล่าให้ฟังมาก พอพูดถึงเรื่องความพยายาม มันจะมีเรื่องของความพยายามที่หนูตั้งใจทำมาโดยตลอดคือ เรื่องความฝันที่อยากจะเป็นศิลปิน 

 

ครั้งหนึ่งหนูต้องไปสอบเปียโนเกรด 7 คือมันอยู่ในขั้นที่สูงมากๆ แล้ว หนูมีโอกาสได้ไปเล่นให้รุ่นพี่ในคณะคนหนึ่งฟัง พอเล่นเสร็จเขาหันมาบอกกับหนูว่า “ถ้าเล่นแบบนี้สอบไม่ผ่านหรอกนะ” แล้วหนูก็สตันท์อยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็คิดว่าเธอคือใคร ทำไมถึงมาพูดแบบนี้กับเรา 

 

สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนพลังที่ผลักดันให้หนูกลับไปซ้อมเปียโนทุกวันเลย จนกระทั่งถึงวันสอบ พอหนูออกมาจากห้องสอบ แล้วผลสอบก็ออกมาผ่าน หนูอยากจะโทรหาคนคนนั้นมาก หนูก็เดินดุ่มไปที่คณะเพื่อที่จะหาพี่คนนั้น เพียงแค่อยากจะบอกว่าหนูสอบผ่านแล้ว (หัวเราะ) 

 

ก็เลยรู้สึกตัวว่า เป็นคนที่สู้และพยายามพิสูจน์ตัวเองเพื่อต่อต้านคำดูถูกของใครก็ตาม คือถ้าใครมาสบประมาทหนู หนูจะเป็นคนที่สู้กับสิ่งนั้นมากๆ เป็นคนไม่ชอบยอมแพ้กับอะไรแบบนี้ 

 

 

เหมย: ถ้าเรื่องความพยายามแบบที่สุดก็คือเรื่องการออดิชันเข้ามา CGM48 โดยพื้นเพหนูอยู่ที่ฉะเชิงเทรา หนูเป็นคนที่ชอบไปออดิชันตามวงต่างๆ อยู่แล้ว แล้วครั้งนี้หนูก็สมัครไปที่ CGM48 โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะติด เพราะทุกครั้งที่เราออดิชันมาก็ไม่ติดเลยสักครั้ง ก็เลยไม่ได้ตั้งความคาดหวังไว้สูงขนาดนั้น 

 

พอประกาศมาแล้วมันมีหมายเลขของเราที่ผ่านคัดเลือกก็รู้สึกดีใจมาก แล้วอุปสรรคหนึ่งที่ต้องเจอหลังจากนั้นคือต้องไปออดิชันที่เชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นฐานะที่บ้านไม่ค่อยดี แต่สุดท้ายพ่อแม่ก็ทำเพื่อหนู ส่งหนูไปออดิชันที่เชียงใหม่จนได้ แล้วตอนนั้นหนูก็ตั้งใจทำมากๆ ฝึกซ้อมทุกวัน ไปวิ่งที่สนามหญ้าทุกวัน ฝึกฝนตัวเองหนักที่สุด 

 

พออยู่โรงเรียน ถึงช่วงพักเราก็เอาเวลาไปซ้อมเต้น ตอนเย็นกลับบ้านมาก็ซ้อมเต้น เพื่อที่จะติดเป็นสมาชิกของวงให้ได้ แล้วก็ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจที่พยายามเพื่อเรามาเหมือนกัน เห็นความพยายามของพ่อแม่แล้วหนูก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วเราจะท้อได้อย่างไร เราควรต้องพยายามให้มากกว่า 

 

พอได้เข้ามาอยู่ในวงหนูก็พยายามมากๆ ตั้งใจซ้อม ตั้งใจฟังว่าเขาสอนอะไรเรา ตั้งใจเรียนด้วยถึงจะซ้อมหนักมากก็ตาม พยายามควบคุมทุกอย่างให้มันออกมาอย่างดีที่สุด สุดท้ายมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกดีใจค่ะที่วันนั้นพ่อแม่เลือกสนับสนุนความฝันของเรา เลยรู้สึกซาบซึ้งในความพยายามของพ่อแม่ที่พามาส่งถึงเชียงใหม่แล้วทำให้หนูมีวันนี้ 

 

พีค: หนูมองว่าทุกคนอาจจะมองเรื่องของความพยายามหรือความสำเร็จในแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับตัวหนูการเป็นตัวเองที่มีความสุข แล้วยังเป็นไอดอลอยู่ มันค่อนข้างยากสำหรับหนู ด้วยความที่คาแรกเตอร์หนูดูเท่ อาจจะไม่ได้มีความน่ารักสดใสหรือมีแฟนคลับที่มากมายเหมือนคนอื่น ก็เลยพยายามหาตรงกลางสำหรับการทำหน้าที่ตรงนี้มาตลอดว่าเราควรจะทำอย่างไร เราควรจะเป็นใคร 

 

เคยมีช่วงที่หลงทางไปพักใหญ่ๆ เราลองเป็นหลายๆ อย่าง ก็มีฟีดแบ็กมาจากคนที่เป็นแฟนคลับ แล้วก็ไม่ใช่แฟนคลับเรา บางคำพูดก็ยอมรับว่ามันทำร้ายจิตใจมากๆ จนรู้สึกสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่กล้าแต่งตัวในแบบที่เคยทำ ไม่กล้าแต่งหน้า ไม่กล้าทำสิ่งที่ตัวเองเคยชอบมาก่อน ไม่กล้าแม้แต่จะอัปรูปลงโซเชียล เพราะกลัวว่าคนที่ชอบเราในลุคก่อนหน้าที่เราเคยทำจะผิดหวังหรือเปล่าว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม 

 

ทั้งๆ ที่มันก็คือตัวเราที่เป็นแบบนั้นเหมือนเดิม เพียงแค่คนเรามันไม่ได้มีเพียงแค่ด้านเดียวอยู่แล้ว หนูก็อยากให้เขาได้เห็นหนูในหลายด้าน หลายมุมมอง แต่หนูโชคดีที่ได้ทางบ้านคอยซัพพอร์ตตลอด แล้วช่วงหลังก็เริ่มเฉยกับคำพูดของคนที่ไม่ได้รักเราที่เป็นตัวเราจริงๆ ก็เลยเริ่มรู้จักเห็นใจและใส่ใจกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น เราสบายใจที่จะเป็นหรือจะทำอะไรก็ทำไปเลย อันนี้หนูรู้สึกว่าเป็นความสำเร็จที่ทำได้ประมาณ 50% แล้ว

 

BNK48-CGM48

 

แต่ละคนเคยมีความฝันที่จะอยากพิชิต หรือเป้าหมายของชีวิตที่อยากไปให้ถึงในอนาคตไหม

 

พีค: หนูอยากเป็นเจ้าของ Art Gallery เป็นความฝันที่หนูมีตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย ทุกวันนี้ก็มีเรียนเสริมวิชาศิลปะ เสพงานศิลป์ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตัวเองมีไอเดียในการมาสร้างผลงานใหม่ๆ 

 

ข้าวฟ่าง: หนูอยากเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จระดับ Taylor Swift แต่จริงๆ ไม่ขนาดนั้น แค่อยากเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงอยู่ในประเทศก็ดีใจแล้ว เพราะลึกๆ เราก็ยังเป็นคนที่ชื่นชอบการร้องเพลง อยากทำเพลง อะไรประมาณนี้ 

 

เหมย: ถ้าเป็นเป้าหมายในวงก็อยากจะเป็นเซ็นเตอร์เพลงหลักสักเพลงก่อนที่จะจบการศึกษาไป ถ้าชีวิตส่วนตัวตอนนี้มีคิดว่าอยากจะทำธุรกิจสักอย่างให้กับครอบครัว 

 

ฟอร์จูน: ตอนนี้หนูมีความประสงค์เดียวคือ อยากใช้ชีวิตแบบหาความสุขให้ตัวเองง่ายๆ เช่น ตื่นเช้ามาในทุกๆ วัน แล้วมองเรื่องเล็กๆ ในชีวิตเป็นความสุขให้ตัวเองได้ ตอนนี้หนูคิดว่าได้พัฒนาความคิดและเป็นแบบนั้นได้ประมาณหนึ่งแล้ว พูดง่ายๆ ก็คืออยากเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ และมีความสุขที่สุด 

 

แอล: หนูอยากให้ทุกคนมองหนูที่เป็น ‘แอล’ จริงๆ หนูรู้สึกว่าตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่ในวง BNK48 ตัวหนูโดนบอกว่าเราเป็นคนนั้นคนนี้ มีหลายชื่อมาก ตอนแรกๆ ก็รู้สึกดีนะที่มีคนมองเราเก่งเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ 

 

แต่พอมีคนเริ่มพูดแบบนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เกิดเป็นคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมถึงไม่มองแอลในแบบที่เป็นตัวของแอลบ้าง ทั้งที่หนูก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาเราแสดงความเป็นตัวของตัวเองมาตลอด แต่ก็เข้าใจว่ามันอาจจะไปเหมือนคนอื่นบ้าง ลักษณะนิสัยบางอย่างอาจจะคล้ายกัน มีมุมที่เหมือนกัน 

 

ช่วงแรกหนูก็มีไปขอว่าไม่เรียกเราแบบนั้นแบบนี้ได้ไหม เพราะหนูรู้สึกว่าเขาไม่ได้มองหนูที่เป็นตัวหนูเอง แต่ช่วงหลังหนูเริ่มปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่หาเหตุผลกับอะไรแบบนี้อีกแล้ว เราเลยมีความตั้งใจที่จะทำให้สักวันเขามองว่าแบบนี้แหละคือแอล เราคือแอลไม่ใช่คนอื่น 

 

ลูกเกด: มันคือสิ่งที่หนูอยากจะทำให้มันเป็นจริง นั่นคือการทำงานในวงการบันเทิง เป็นนักแสดงก็ได้ แต่ตอนนี้ก็เริ่มจากการเป็นไอดอลก่อน หนูอยากทำให้ความชอบตรงนี้ของหนูกลายเป็นอาชีพ และเลี้ยงดูครอบครัวเราได้ ถ้าหนูทำได้มันคงเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ต่อให้มันจะต้องเป็นการทำงานที่หนัก แต่เชื่อว่ามันจะเป็นการทำงานที่เรามีความสุข

 

 

ช่วงสุดท้ายเราอยากให้น้องๆ ได้ตกตะกอนชีวิตการเป็นไอดอล ว่าแต่ละคนได้ค้นพบหรือได้เรียนรู้อะไรจากการเป็นไอดอล BNK48-CGM48 บ้าง

 

ฟอร์จูน: โชกโชนมากกับประสบการณ์ในสถานที่แห่งนี้ มีหลากหลายรสชาติให้ได้ลิ้มลอง สิ่งหนึ่งที่หนูได้เรียนรู้เลยก็คือ การมาอยู่ตรงนี้ทำให้หนูได้ค้นพบความรักที่เป็นรักที่บริสุทธิ์จริงๆ ก็คือรักที่มาจากแฟนคลับ หนูรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อาจจะไม่ได้รู้จักหนูร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น แต่เขาก็เลือกที่จะมาทำความรู้จักกับหนู เวลาแฟนคลับไปฟังเพลงอะไรแล้วก็นึกถึงเรา ก็ส่งมาให้เรา ไปเจอแมวก็ถ่ายรูปส่งมาให้ 

 

เลยรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มาเป็นไอดอลตรงนี้ หนูจะไม่มีทางสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้เลยว่าจริงๆ ก็มีคนที่พร้อมจะรักเราอยู่เสมอนะ คนที่พร้อมจะซัพพอร์ตเรามากๆ ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม บางคนอาจเข้ามารู้จักแล้วก็ผ่านไป รวมถึงคนที่เข้ามาแล้วอยู่กับเรามาจนถึงปัจจุบันก็มีอีกเยอะ

 

รู้สึกว่าคุณค่าของการเป็นไอดอลก็คือตรงนี้แหละ การได้อยู่เพื่อแฟนคลับ อยู่เพื่อเป็นแรงบันดาลใจหรือกำลังใจ เป็นความรักให้กลุ่มคนตรงนี้ ก็อยากถือโอกาสนี้ขอบคุณพวกเขา ถ้าไม่มีเขาในวันนี้ก็จะไม่มีฟอร์จูนอยู่ตรงนี้แน่นอน 

 

อยากขอบคุณทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เวลาหลังจากนี้อาจจะเหลือไม่เยอะมากเท่าไร แต่หนูยังมีความฝันที่คิดว่าทุกคนรู้ว่าหนูต้องการที่จะทำให้สำเร็จ รอเจอหนูในพาร์ตถัดไปได้เลย

 

เหมย: การได้มาทำหน้าที่ไอดอลตรงนี้ทำให้หนูรู้สึกเติบโตเร็วกว่าเด็กที่มีอายุไล่เลี่ยกับหนูมากๆ อย่างแรกคือเราได้ประสบการณ์ทำงานจากคนที่โตกว่า อายุเท่ากัน หรือเด็กกว่า ได้เรียนรู้วิธีการวางตัวและการปฏิบัติตัวในสังคม 

 

ส่วนเรื่องแฟนคลับก็คิดเหมือนพี่ฟอร์เลย คือถ้าหนูยังเป็นเด็กนักเรียนปกติ หนูคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางได้รับความรักจากแฟนคลับมากมายแบบนี้ ตอนที่เราเข้ามาแรกๆ ก็รู้สึกแปลกใจนิดหนึ่งว่าเขามารักเราได้อย่างไรทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักเราจริงๆ แต่พอนานวันไปก็ได้รู้ว่ามีหลายคนที่รักเราในแบบที่เราเป็นจริงๆ ก็เลยอยากจะขอบคุณแฟนคลับมากๆ การที่หนูได้มาอยู่ในเพลงนี้ ได้มาสัมภาษณ์ตรงนี้ ก็เพราะแฟนคลับที่ช่วยสนับสนุนมาตลอด

 

ข้าวฟ่าง: หนูเริ่มเข้ามาเป็นไอดอลเพราะว่าหนูชอบ BNK48 หนูเป็นโอตะคนหนึ่งเลย ที่แห่งนี้ให้อะไรหนูเยอะมาก ตั้งแต่เข้ามาหนูรู้สึกว่าหนูโตขึ้นทั้งเรื่องการจัดการเวลา การจัดการอารมณ์ รู้สึกว่าได้ประสบการณ์ ได้พัฒนาตัวเอง ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้ทำด้วยซ้ำ 

 

ที่ผ่านมาอาจจะมองเหมือนมันเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ว่าพอมองย้อนกลับไปมันยิ่งใหญ่มากเลยนะ อย่างเช่น ครั้งหนึ่งหนูได้ขึ้นเต้นเวทีเดียวกับพี่มิวสิคที่เป็นไอดอลระดับตำนาน ครั้งหนึ่งหนูเคยได้ทำงานร่วมกับพี่เฌอปราง พอพูดแบบนี้มันก็อาจจะฟังดูปกติ ณ ตอนนี้ แต่ว่ามันก็เป็นความฝันเล็กๆ ที่ ณ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะได้มาทำหน้าที่ของไอดอลตรงนี้ค่ะ 

 

อีกอย่างก็คือ ถ้าพูดกันตามตรงตั้งแต่เข้าวงมามันก็ไม่ได้มีแต่ความสุขแบบเต็มร้อย มันอาจจะมีสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังมากเท่าไร เพราะว่าด้วยปัจจัยอะไรหลายอย่าง แต่สุดท้ายพูดตรงๆ ว่าก็ผ่านมาได้ด้วยแฟนคลับทั้งนั้น มันเป็นอะไรที่อะเมซิงมากๆ เลยนะ เขาเลือกที่จะรักเรา ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้รักตัวเอง ณ ตอนนั้นก็ได้ เขาเชื่อในตัวเรา เขาเป็นกำลังใจให้เรา เขายอมอยู่ตรงนั้นเพื่อเรา 

 

หลังจากนี้คงสู้ต่อไป เพราะว่ายังชอบและรักที่จะทำหน้าที่ไอดอลอยู่จริงๆ อาจจะไม่รู้ว่ามีใครเห็นความพยายามมากน้อยแค่ไหน แต่ก็อยากจะบอกให้รู้ว่า หนูยังพยายามอยู่เสมอนะ ยังตั้งใจที่ทำงานออกมาให้ดีที่สุด

 

BNK48-CGM48

 

พีค: ตอนหนูมาออดิชันแล้วติดวง BNK48 ที่บ้านก็สนับสนุนให้หนูได้ลองดูสักครั้ง มันเป็นเหมือนบทหนึ่งในชีวิต มันไม่ใช่โอกาสที่ครั้งหนึ่งในชีวิตใครๆ ก็จะเป็นไอดอลได้ หนูก็เลยตัดสินใจลองดูกับการเป็นไอดอล 

 

หลังจากเข้ามาอยู่ BNK48 หนูว่าวงนี้เปิดต่อมรับรสให้หนูหลายอย่างมาก มีทั้งความสุข เสียใจ ตื่นเต้น เซอร์ไพรส์ และอีกหลายอย่าง จนบางทีก็ทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนง่ายในบางเวลา 

 

BNK48 เปรียบเสมือนโรงเรียนประจำ เป็นโรงเรียนที่ให้บทเรียนเราเยอะมาก ได้เจอทั้งเรื่องที่มีความสุขและช่วงเวลาเศร้าปะปนกันไป แต่ก็แฮปปี้กับการได้มาเป็นไอดอล เพราะว่ามีหลายๆ คนซัพพอร์ต ทั้งแฟนคลับ ทั้งที่บ้าน หรือเพื่อนๆ เลยทำให้การเป็นไอดอลของหนูดำเนินไปอย่างมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องกดดันตัวเองมากมาย 

 

หนูรู้สึกขอบคุณแฟนคลับทุกวัน เวลาเปิด DM เข้าไปอ่านข้อความ เห็นเขาส่งแชตมาตอนเช้าเพื่อทักทาย Good Morning แค่นี้ เราก็รู้สึกว่ายังมีคนนึกถึงเราทุกวันเลย ตัวหนูเองหนูก็เคยเป็นแฟนคลับมาก่อน เลยเข้าใจความรู้สึกของแฟนคลับ แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นไอดอลด้วย มันเลยรู้สึกว่าการเป็นไอดอลตลอด 3 ปีนี้ได้มอบความรู้สึกที่ดีให้เรามากๆ และก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งได้มาเป็นไอดอล 

 

ลูกเกด: ถึงจะอยู่กับวงมาได้ไม่นาน แต่นับตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่ในวง หนูได้รับโอกาสมาโดยตลอด อย่างเข้ามาก็ติดเซ็มบัตสึเลย ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่หนูก็พร้อมทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มที่ ทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ทำให้เห็นว่าเราเหมาะสมกับโอกาสที่ได้มา 

 

หนูรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในระดับท็อปขนาดนั้น อยู่ในระดับกลางๆ แต่แฟนคลับก็ยังให้เราเป็นระดับท็อปหรือที่หนึ่งในใจของเขาเสมอ หนูเห็นด้วยกับทุกคนที่พูดไปก่อนหน้านี้เลยว่า แฟนคลับคือกำลังใจสำคัญในการก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย 

 

เลยรู้สึกขอบคุณพวกเขามากๆ เขาอาจจะเลือกชอบเราด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เช่น หน้าตาน่ารัก บางคนอาจจะเข้ามาทักทายแป๊บเดียวแล้วออกไป หนูก็ดีใจแล้วที่ครั้งหนึ่งเขาได้มาทักทายกัน แต่หนูก็ยังจะเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ต่อไป แสดงให้เขาเห็นว่าเราก็มีความฝันไม่ต่างจากรุ่นพี่ และการได้มาอยู่ตรงนี้มันได้พาให้เราได้ลงมือทำอะไรหลายอย่าง ได้มาทำงานกับคามิโอชิที่เราชื่นชอบสมัยเป็นแฟนคลับ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ฝึกให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย และประสบการณ์อีกหลายอย่างที่คิดว่าน่าจะหาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว 

 

แอล: การได้มาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกวงนี้ทำให้หนูเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายมาก แต่พอมาทำหน้าที่ไอดอลตรงนี้รู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบสูงขึ้น 

 

ไอดอลคือหน้าที่ที่หนูอยากจะทำให้สำเร็จไปจนสุดทาง เดิมทีหนูอยากเป็นไอดอลตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นมักเน่ อายุเท่า วาว่า BNK48 ก็เคยไปไล่ออดิชันมาหลายที่แต่ก็ไม่เคยติดสักที ตอนแรกก็ถอดใจแล้ว แต่พอมาติดเป็น BNK48 รุ่น 4 ก็อยากทำให้เต็มที่ 

 

และมากกว่าการทำหน้าที่ไอดอลปกติ คือการสวมบทบาทเป็นพี่สาวให้กับน้องๆ ในวง เพราะปกติตัวเองจะชินกับการเป็นลูกคนเดียวที่พ่อแม่ตามใจ (หัวเราะ) ได้เจอประสบการณ์ใหม่ ได้ลองใช้ชีวิตในแบบที่ได้ดูแลคนอื่นบ้าง มันเลยเป็นพาร์ตที่ทำให้หนูรู้สึกเติบโตมากขึ้น 

 

เมื่อก่อนหนูจะเป็นคนที่คิดแต่เรื่องของตัวเองเป็นหลัก แต่พอมาอยู่ตรงนี้แล้วมีแฟนคลับที่คอยสนับสนุน เวลาหนูจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง หนูจะคิดถึงพวกเขามากขึ้น และก่อนเข้ามาเป็นไอดอลหนูขี้อายมาก พูดไม่เก่งเลย แต่ตอนนี้รู้สึกว่าพูดเก่งขึ้นมาเยอะแล้ว แต่อาจจะยังมีพูดไม่รู้เรื่องบ้าง (หัวเราะ)

 

 

ในฐานะศิลปิน การขอบคุณแฟนคลับถือเป็นเรื่องที่คุ้นชินหรือพบเห็นได้ทั่วไป แต่ท้ายที่สุดเราเชื่อว่าไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่า ‘ตัวเราเอง’

 

เราจึงชวนเมมเบอร์ที่มาให้สัมภาษณ์วันนี้ได้พูด ‘ขอบคุณ’ ตัวเองบ้าง หรือมีสิ่งที่อยากจะบอกกับตัวเองในวันนี้

 

เหมย: อยากขอบคุณตัวเอง ที่ผ่านมาเราผ่านอะไรมาเยอะมาก ชีวิตเด็กอายุ 19 คนหนึ่งที่มีเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อาจจะมีบางเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ แล้วก็มีเรื่องที่เราต่อสู้ด้วยตัวเราเอง อยากขอบคุณตัวเองที่ยังไม่ย่อท้อ ขอบคุณที่ลุกขึ้นสู้ต่อ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ถึงแม้เราจะไม่ได้เกิดมามีพร้อม แต่เราก็ไม่เคยท้อที่จะพยายามสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของเราเอง ขอบคุณที่พาตัวเองก้าวข้ามความโศกเศร้ามาได้ตลอด เวลาเราเจอเรื่องที่น่าทุกข์ใจในอนาคตมันก็เหมือนเรามีวัคซีนต่อสู้กับอุปสรรคเป็นของตัวเอง

 

ข้าวฟ่าง: หนูอยากขอบคุณตัวเองที่ยังไม่ยอมแพ้แล้วกันค่ะ ขอบคุณที่ยังเข้มแข็ง ยังไม่คิดที่จะล้มเลิกในความฝันนี้ ถึงจะเจออุปสรรคอะไรมากมาย ขอบคุณที่ยังรักตัวเองอยู่เสมอ แล้วก็ยังเห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะมันมีหลายครั้งที่หนูรู้สึกว่าเราไม่มีตัวตน พยายามเท่าไรก็ไม่มีผล พยายามเท่าไรก็ไม่มีใครเห็น ขอบคุณที่ก้าวข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้ อยากให้ตัวเองภูมิใจในตัวเองเยอะๆ เพราะว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเก่งแล้ว มันดีที่สุดแล้ว และจงพยายามต่อไปนะ 

 

ลูกเกด: หนูไม่เคยมานั่งขอบคุณตัวเองเลยว่าสิ่งที่เราทำมามันดีแล้ว มันเก่งมากๆ แล้ว ถึงสิ่งที่ลงมือทำไปอาจจะยังไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ ณ วันนี้มันก็เริ่มเห็นผลมากขึ้น ถ้าเราตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ความพยายามไม่ทำร้ายใครและคนที่ตั้งใจแน่นอน มันคือเพลงที่หนูใช้ท่องมาตลอด อยากขอบคุณตัวเองที่ตั้งใจทำงาน ยังมีพลังงานที่ดีในการทำหน้าที่ต่อไป เพราะขนาดแฟนคลับยังอยู่สู้กับเราเลย ยังมีคนที่คอยอยู่เคียงข้างในเส้นทางการเป็นไอดอลกับเราอยู่ หลังจากนี้หนูจะขอบคุณตัวเองให้มากขึ้น ขอบคุณที่สู้มาตลอด และจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีต่อไปค่ะ 

 

พีค: หนูรู้สึกขอบคุณตัวเองในทุกๆ วันที่ใช้ชีวิตมาจนอายุครบ 20 ปีแล้ว ขอบคุณที่ในวันที่เหนื่อย แม้ไม่มีใครมาเข้าใจความรู้สึกเรามากที่สุด แต่ตัวเราต่างหากที่เข้าใจมันมาก และคอยรักษาบาลานซ์ชีวิตตัวเองได้ดีขึ้นในทุกช่วงอายุที่กำลังเติบโตขึ้น ขอบคุณที่สู้ในหลายๆ เรื่อง ทั้งการเป็นไอดอล การเรียน หรือแม้แต่การเป็นตัวของตัวเอง ขอบคุณที่ดูแลตัวเองได้ดีขึ้น มันมีคำพูดหนึ่งที่หนูชอบมากคือ ‘อยู่ถูกที่จะพิเศษเอง’ ถึงทุกวันนี้หนูอาจจะไม่รู้สึกว่าหนูอยู่ถูกที่มากสักเท่าไร แต่หนูก็ขอบคุณตัวเองที่พยายามหาที่หาทางให้ตัวเองอยู่ได้ถูกที่มากขึ้น ทำให้ตัวเองเปล่งประกายและได้ค้นหาตัวเองในแบบที่ตัวหนูต้องการจะเป็น 

 

แอล: ขอบคุณตัวเองที่ครั้งหนึ่งในชีวิตทุ่มเทและมีความพยายามให้กับสิ่งที่กำลังลงมือทำอยู่ อย่างที่หนูพูดบ่อยมากคือ เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ล้มเลิกอะไรได้ง่ายมาก ก็เลยรู้สึกขอบคุณตัวเองที่รู้วิธีฮึดขึ้นสู้และพยายามลงมือทำด้วยความตั้งใจ ขอบคุณที่ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป ขอบคุณที่ไม่ว่าจะเจออะไรก็จะลุกขึ้นสู้อยู่เสมอ ทำให้แอลกลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ขอบคุณที่สู้มาโดยตลอด รักษาบาลานซ์เรื่องเรียนกับการทำงานไอดอลได้เป็นอย่างดี 

 

หนูเป็นพวกความจำสั้นด้วย เลยลืมว่าตัวเองผ่านอะไรยากๆ มาด้วยไหม แต่หนูว่ามันเป็นข้อดีที่ทำให้เราไม่แบกเรื่องที่น่าเสียใจไว้นานๆ ก็อยากขอบคุณตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ ที่ก้าวผ่านเรื่องที่ไม่ดีมาได้ 

 

ฟอร์จูน: สิ่งที่หนูจะพูดต่อจากนี้ไปเป็นข้อความที่ฝากถึงตัวหนูในอนาคตแล้วกัน ถ้ามีโอกาสได้กลับมาอ่านบทสัมภาษณ์นี้ ก็หวังว่าจะเป็นเครื่องเตือนใจ อยากให้จำความรู้สึกนี้ไว้ 

 

“เก่ง เธอเก่งมากแล้วจริงๆ ที่ผ่านมาเต็มที่ทุกอย่าง เรารู้มาโดยเสมอ ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อยากให้ระลึกไว้เสมอแล้วกันว่า เธอยังมีฟอร์จูนที่จะอยู่ข้างฟอร์จูนเสมอ ขอบคุณที่ไม่ว่าจะได้รับอะไรมาก็ตามจะตั้งใจกับทุกเรื่อง ขอบคุณที่ยังคิดว่ายังอยากจะตื่นขึ้นมาในทุกๆ วันเพื่อที่จะออกไปใช้ชีวิต 

 

“ขอบคุณที่ยังเชื่อมั่นในตัวเอง ขอบคุณที่ยังไม่เลือกทิ้งความฝันของตัวเองลงไปง่ายๆ ขอบคุณที่เชื่อว่าสักวันหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ขอบคุณที่พาตัวเองไปเจอแต่สิ่งดีๆ หวังว่าถ้าได้กลับมาอ่านข้อความนี้ อยากให้รู้ว่าฟอร์จูนคือฟอร์จูนที่เก่งที่สุดแล้ว ไม่มีใครเก่งมากเท่านี้แล้ว เพราะฉันมีคนเดียว และฉันจะเป็นฟอร์จูนที่ดีที่สุดนะ”

 

ฟังเพลง: Dare no Koto wo Ichiban Aishiteru? – ที่หนึ่งตรงนั้น เป็นฉันได้ไหม? BNK48 ได้ที่: 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X