“ถ้าให้เขียนบันทึกหน้าสุดท้าย.. นั่นสิ เราจะเขียนว่าอะไรดีนะ?”
บางทีคำถามที่เหมือนจะเล็ก อาจพาเราย้อนกลับไปไกลกว่าที่คิด และในบางวัน มันก็อาจกลายเป็นโอกาสให้เราพูดในสิ่งที่ไม่เคยพูดมาก่อนเลย แม้แต่กับตัวเอง
บทสนทนาในครั้งนี้อาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ THE STANDARD POP ได้ชวน 5 สมาชิกจาก BNK48 และ CGM48 มานั่งคุยภายใต้คอนเซ็ปต์ที่หยิบยกแก่นอารมณ์จากเนื้อเพลง Colorcon Wink ซิงเกิลลำดับที่ 19 ของ BNK48 เพื่อเปิดพื้นที่ให้พวกเธอได้พูดถึงตัวเอง ในแบบที่ไม่ค่อยได้เล่าบนเวที
คำถามทุกข้อถูกออกแบบมาเพื่อเปิดพื้นที่ให้พวกเธอได้คุยกับหัวใจตัวเอง ตั้งแต่ความกดดันที่ต้องเก็บไว้ใต้รอยยิ้ม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละนิดโดยไม่รู้ตัว การเติบโต ความฝันที่ไม่กล้าบอกใคร และความรู้สึกจริงๆ ที่มีต่อแฟนคลับ
และทั้งหมดในบทความนี้คือ ‘สมุดบันทึก’ อีกเล่มหนึ่งที่ แพนเค้ก, คนิ้ง, นีนี่, สิตา และเกรซ อยากเปิดอ่านไปพร้อมกับทุกคน
จุดเริ่มต้นของ Colorcon Wink
Pancake: หนูได้ดูคลิป dance practice ของรุ่นพี่ AKB48 แล้วรู้สึกชอบทันทีค่ะ เห็นแล้วตกหลุมรักเลย ถ้าให้เลือกเป็นเซ็นเตอร์เพลงไหน หนูก็เลือกเพลงนี้แน่นอน แล้วก็ชอบที่ท่าเต้นมันสวย แล้วก็รู้สึกว่าเข้ากับตัวเอง เพราะเป็นคนชอบท่าที่ใช้มือกรีดกราย แล้วชุดก็ฟรุ้งฟริ้งน่ารัก เห็นแล้วก็ยิ่งอยากเต้นค่ะ
ท่าเต้นโซโล่ที่เราเห็นใน MV คือท่าออริจินัลหรือคิดขึ้นใหม่?
Pancake: ใน MV ออริจินัลจะเป็นพี่ยูกิรินที่เต้นโซโล่ค่ะ แต่ของหนูคือคิดขึ้นใหม่ทั้งหมด ได้คุยกับผู้กำกับว่า ถ้าทำท่าออกมาไม่ถึง เขาจะไม่เอาไปใช้นะ มันเลยเป็นแรงกดดันให้หนูต้องทำการบ้านอย่างหนัก โชคดีที่ได้ครูนนมาช่วยคิดท่าเต้นด้วย โดยบรีฟคือให้สื่อถึงความรู้สึกเหมือนอยากปลดปล่อยอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังมีอะไรค้างคาอยู่ หนูเลยเต้นตามฟีล ตามจังหวะเพลง และใช้เวลากับการหาอารมณ์ตรงนั้นพอสมควรเลย
แล้วเมมเบอร์คนอื่นๆ ประทับใจอะไรเป็นพิเศษในซิงเกิลนี้บ้าง?
Grace: ชอบชุดค่ะ เพราะโดยปกติซิงเกิลอื่นจะไม่ได้ถามเมมเบอร์ตรงๆ ว่าอยากใส่แบบไหน แต่ครั้งนี้แพนเค้กถาม แล้วก็ได้ชุดเปิดไหล่ที่ดูหวานๆ แต่แอบเปรี้ยวหน่อย อีกอย่างคือได้ไปถ่าย MV ที่ญี่ปุ่น แสงสวยมาก และ MV ก็มีสตอรี่ชัดเจน ซึ่งต่างจากเพลงอื่นที่อาจเน้นเต้นหรือวิชวลอย่างเดียว
Nenie: หนูชอบที่ได้ถ่ายที่ญี่ปุ่นค่ะ เหมือนได้สัมผัสวัฒนธรรม ได้ใส่ชุดนักเรียนญี่ปุ่นจริงๆ แล้วก็ได้ถ่ายในห้องเรียนที่สะอาดมาก รู้สึกประทับใจ อยากลองเรียนที่นั่นเลย อีกอย่างคือ MV นี้มีหนังสั้นด้วย มีแอคติ้งจริงจัง ซึ่งเป็นครั้งแรกของหนู มันท้าทายมาก และเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดีมาก
Kaning: สิ่งที่หนูชอบคือทุกคนได้มีส่วนร่วมในเพลงนี้ค่ะ เพราะแพนเค้กเป็นคนเลือกเพลง และเมมเบอร์ทุกคนก็สามารถเสนอไอเดียในแต่ละฉากได้ บางจุดที่เรารู้สึกว่าควรปรับก็สามารถบอกทีมงานได้เลย แล้วทีมงานก็รับฟัง ผลลัพธ์ที่ออกมามันเลยดูกลมกลืนและเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงของทุกคน
Sita: ตั้งแต่รู้ว่าได้ติดเซ็มบัตสึจากการโหวตของแฟนๆ หนูก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วค่ะ ยิ่งเป็นเพลงสไตล์ไอดอลที่หนูชอบอยู่แล้ว ท่าเต้นมันจะดูสวยๆ หน่อย ซึ่งหนูเองก็แฮปปี้มากค่ะ แม้มันจะยากมากจนตอนแกะท่ารู้สึกทรมาน แต่พอเต้นเป็นแล้วมันสนุกมาก หนูว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ท่ายากที่สุดตั้งแต่หนูอยู่ที่นี่มาเลย
จากท่อนในเพลงที่ว่า “Colorcon Magic นั้นทำให้เป็นคนใหม่ / ให้ฉันเปลี่ยนไปและไม่เป็นเหมือนเดิมๆ”
มีช่วงเวลาไหนในเส้นทาง BNK48 ที่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปจริงๆ อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนไหม?
Pancake: สำหรับหนูคิดว่า การได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ ไม่ใช่การเปลี่ยนเป็นอีกคน แต่คือการที่หนูมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะแสดงออก และกล้าเสนอไอเดียของตัวเองมากขึ้น
ตอนเป็นเซ็นเตอร์ Iiwake Maybe หนูยังเด็กและไม่ค่อยกล้าออกความคิดเห็น แต่กับซิงเกิลนี้ หนูรู้สึกว่าโตขึ้นจริงๆ ทั้งในแง่ความคิดและความมั่นใจ
Grace: เข้ามาอยู่ในวง 5 ปี หนูรู้สึกว่าโตขึ้นมากค่ะ ก่อนหน้านี้เป็นเด็กที่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าตอบคำถามในห้องเรียน และเขินมากเวลาต้องพูดหน้ากล้อง
แต่พอได้ทำงานหลายอย่างในวง เช่น ไปโปรโมตเพลง ถ่าย MV หรือได้คุยกับเพื่อนๆ มันทำให้เราต้องพูด ต้องสื่อสาร และเรียนรู้ที่จะกล้าขึ้น ความคิดก็โตขึ้น พร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นด้วย
Nenie: หนูก็เป็นคนที่ขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเหมือนกันค่ะ ตอนอยู่วงใหม่ๆ จะไม่ค่อยกล้าทำอะไร แต่พออยู่ไปนานๆ ก็รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีความมั่นใจ และกล้าทำอะไรหลายอย่าง
ทุกเพลงที่ได้ร่วม มันเหมือนบังคับให้เราต้องเปลี่ยนคาแรกเตอร์ให้เข้ากับมู้ดเพลง ก็เลยได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด อย่างเช่นอินเนอร์ของเพลง ความรู้สึกที่ต้องสื่อออกมา มันช่วยเพิ่มสกิลให้ตัวเราไปเรื่อยๆ เลย
Kaning: ตอนแรกหนูยังไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองเปลี่ยน แต่เพื่อนที่โรงเรียนทักก่อนว่าเราดูโตขึ้น พอมานั่งคิดก็เห็นด้วยค่ะ เพราะแค่เข้าวงมาไม่นาน ความคิดหลายอย่างก็เปลี่ยนไปเยอะ
อยู่ตรงนี้เราได้ทำหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องธุรกิจ การจัดการ การวางแผน มันทำให้รู้สึกว่าเราแข็งแกร่งขึ้น และถ้าในอนาคตไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ก็ยังเชื่อว่าเราจะรับมือกับหลายอย่างได้ดี
ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ชัดมากคือคอมเมนต์ในโซเชียลค่ะ ตอนแรกหนูรู้เลยว่าไม่ไหว เวลาเจอคอมเมนต์แย่ๆ นิดเดียวก็เศร้าแล้ว แต่พอเวลาผ่านไป ก็เริ่มแยกแยะได้ว่าอะไรคือคำแนะนำที่ควรฟัง กับอะไรที่เป็นแค่คำพูดลอยๆ ตอนนี้หนูกล้าคัดค้านและกล้าแสดงออกมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ตัวเองในแบบเดิมเมื่อเทียบกับตอนเข้าวงแล้วค่ะ
Sita: สำหรับสิตา จุดเปลี่ยนน่าจะเป็นเรื่อง empathy ค่ะ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว สิตาเป็นคนใช้เหตุผลนำชีวิตมากๆ เป็นเด็กที่มีระเบียบชัดเจน
แต่พอเข้ามาอยู่ที่นี่ ได้เจอทั้งแฟนคลับ เพื่อนร่วมงาน และคนหลากหลายประเภท มันทำให้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเรา และเราต้องเข้าใจคนอื่นด้วย
ทุกวันนี้ เวลามีใครทำให้ไม่สบายใจ เราจะไม่รีบด่วนสรุปแล้วว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น แต่จะคิดต่อว่า..หรือเขาอาจเจออะไรแย่ๆ มาก่อนก็ได้ นั่นคือสิ่งที่สิตาไม่เคยคิดมาก่อน จนได้มาอยู่ตรงนี้
จากท่อน “ก่อนที่นาฬิกาทรายจะไหล…ไหลจนหมด ก่อนที่เวลาจะหมดจากนี้”
มีอะไรที่ยังอยากทำ หรือต้องการบอกใครบางคน ไม่ว่าจะเป็นคนในวงหรือแฟนๆ ก่อนที่เวลานั้นจะหมดไปไหม?
Sita: อยากมีเพลงแกรดของตัวเองค่ะ เพลงที่เลือกไว้คือ Yuuhi wo mite iru ka? เพราะมันมีความหมายกับหนูมากจริงๆ
อีกอย่างที่อยากทำคืออยากเป็นเซ็นเตอร์เพลง Sentimental Train ด้วยค่ะ แต่คิดว่าไทม์มิ่งมันผ่านไปแล้ว คงย้อนกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ
Kaning: หนูรู้สึกว่าตัวเองพอใจกับทุกอย่างที่ได้ทำมาตลอดค่ะ ถ้าถามว่ายังเหลืออะไรอีกไหม ก็บอกตรงๆ ว่าไม่มีอะไรที่ติดค้างเลย ในหัวตอนนี้มีแต่คำว่า ‘ปล่อยวาง’ เพราะรู้สึกว่าทำเต็มที่แล้วกับทุกโอกาสที่ได้รับ ถึงวันหนึ่งจะต้องออกไป หนูก็จะไม่รู้สึกเสียดายอะไรเลย
Nenie: หนูก็ไม่มีอะไรที่ติดค้างนะคะ เพราะรู้สึกว่าได้ทำอะไรมาเยอะมากแล้ว แต่ถ้าให้พูดถึงความรู้สึกที่ยัง “แอบเสียดาย” ก็คงเป็นการไม่ได้ลองเป็นเซ็นเตอร์เดี่ยวสักครั้ง เพราะส่วนตัวอยากได้เพลงที่โตจริงๆ แบบเซ็กซี่ ฉีกจากสไตล์น่ารักๆ ของ CGM48 เพราะหนูอยากลองอะไรใหม่ๆ มันไม่ได้ถึงกับคาใจ แต่ถ้าได้ทำก็คงจะดีมากค่ะ
Grace: อยากจัดงานแฟนมีต เพราะ BNK48 รุ่น 3 ของเราทำคอนเสิร์ตมาเยอะแล้ว แฟนคลับก็น่าจะได้เห็นบนเวทีบ่อย หนูเลยอยากมีเวลาพิเศษกับแฟนๆ มากขึ้น
อยากให้เป็นงานที่ได้ใกล้ชิด ได้แกล้งแฟนคลับบ้าง สนุกๆ และได้บอกขอบคุณแบบจริงใจ ว่าขอบคุณที่อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ยังเป็นกระต่ายตัวน้อย จนวันนี้บางตัวได้เป็นเซ็นเตอร์ และได้ไปร่วมทำเพลงที่ญี่ปุ่นแล้ว หนูว่าถ้าได้ทำแบบนั้นอีกสักครั้งก็คงดีมากค่ะ
Pancake: หนูอยากมีเพลงเดี่ยวสักครั้งในชีวิตเมมเบอร์ค่ะ เพลงที่อยากได้คือ Yume de kiss me หนูชอบเพลงนี้มากจริงๆ ถ้ามีโอกาส หนูอยากทำให้ดีที่สุด ก็ถือโอกาสนี้อยากบอกกับผู้ใหญ่ (ในวง) ว่า “ถ้าเลือกหนู หนูจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ”
ถ้าให้พูดความในใจถึงเพื่อนร่วมวงสนทนาวันนี้ อยากบอกอะไรบ้าง?
(พาร์ทนี้เป็นกิจกรรมที่น้องๆ ได้ส่วนจับสลากชื่อคนที่พูดถึงกันเอง)
Pancake ถึง Nenie: เราสนิทกันมานานแล้วเนอะ ถึงอายุจะต่างกัน แต่เวลาคุยด้วยกันหนูรู้สึกว่าเข้ากันดี เหมือนอายุเท่ากันเลย
หนูประทับใจที่พี่นีนี่ชอบตามใจน้อง ดีใจมากที่พี่ชอบมาปรึกษาเรื่องถ่ายรูป หรือถามหนูว่า “อันนี้เทสมั้ย?” มันรู้สึกว่าสนุกดีที่ได้แชร์กัน แล้วพี่ก็เป็นคนเฮฮา ดูไม่มีเรื่องเครียดอยู่เลย ทำให้ชีวิตมันสดใสขึ้นเยอะเลยค่ะ (หัวเราะ) หนูอยากให้เราสนิทกันไปแบบนี้เรื่อยๆ
Nenie ถึง Pancake: แพนเค้กเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุกดีค่ะ ด้วยความที่เป็นเด็กเจนใหม่ หนูก็เลยชอบถามน้องว่า “อันนี้เทสมั้ย?” บางทีเราลงรูปแล้วเทสมันดูเจนเก่าไปหน่อย ก็มาขอคำแนะนำจากน้อง
แล้วหนูก็ชอบให้น้องแซว (หัวเราะ) มันเหมือนคอมพลีทชีวิตอะ เวลากวนแล้วเขากวนกลับมา รู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วไม่เหงาเลย แพนเค้กก็เป็นคนขี้เหงา ชอบชวนไปกินข้าว แล้วหนูก็ไม่ชอบอยู่คนเดียวเหมือนกัน เวลาเขาทักมาชวน หนูจะดีใจมาก เพราะรู้สึกว่ามีเพื่อนแล้ว
หนูมีเรื่องอยากบอกอย่างหนึ่ง บางทีหนูแอบน้อยใจน้องนะ แต่แพนเค้กเป็นคนที่ง้อเก่งมาก ปกติหนูเป็นคนขี้น้อยใจ แต่แพนเค้กเป็นคนแรกที่ง้อหนูจนหายภายใน 3 นาทีเลยค่ะ
Grace ถึง Sita: หนูไม่ค่อยได้ทำงานกับ CGM48 เท่าไหร่ แต่เจอสิตาบ่อยมาก ทั้งตอน Kiss Me! และเพลงนี้
หนูรู้สึกว่าสิตาเป็นคนที่มีแพชชั่นความเป็นไอดอลสูงมาก แบบเต็มเปี่ยมเลย ซึ่งในชีวิตหนูไม่ค่อยเจอคนแบบนี้เท่าไหร่ แล้วก็เป็นคนที่สวยมากจริงๆ ถ่ายรูปยังไงก็รอดทุกมุม
ตอนแรกหนูคิดว่าสิตาจะน่ากลัว เพราะดูนิ่งๆ เฟียสๆ แต่พอได้คุยจริงๆ กลับเป็นคนอ่อนโยนมาก ซอฟต์กว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ
Sita ถึง Kaning: ตั้งแต่รู้จักกันวันแรกจนถึงตอนนี้ คนิ้งยังเหมือนเดิมเลย ดูเป็นเด็กน้อยอยู่ แต่ก็โตขึ้นมาก มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จัดการอะไรได้เอง ลดความชิลล์ลงตามอายุ..แต่ก็ยังติดชิลล์อยู่นิดนึง (หัวเราะ)
ถึงจะอยู่กันคนละกลุ่ม แต่เราทำงานด้วยกันบ่อย และคุยกันบ่อยมาก ถ้าให้จัดอันดับเมมเบอร์ CGM48 ที่คุยด้วยบ่อยที่สุด คนิ้งต้องติดใน 10 อันดับแน่นอน หนูมีความสุขมากเวลาได้คุยกับน้อง และอยากให้น้องได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากใช้…รักนะ
Kaning ถึง Grace: หนูอยากบอกว่าครั้งแรกที่เห็นพี่เกรซ หน้าพี่เหมือนพี่สาวหนูตอนเด็กๆ เลยค่ะ
พอได้ทำงานด้วยกัน หนูรู้สึกว่าพี่เกรซมีความ “แกรม” ที่หนูเข้าถึงไม่ค่อยได้ พี่จะชอบสไตล์แบบเกาหลีๆ ตัวมัม ตัวแม่ ดูมีความมั่นใจ มี Self-Esteem สูงมาก แล้วก็กล้าแสดงออกในระดับที่หนูชื่นชมเลย คุยสนุกมาก หนูชอบสไตล์การพูดของพี่ด้วยค่ะ
ช่วง 1 คำถาม 1 คนตอบ
(พาร์ทนี้เราให้แต่ละคนได้สุ่มคำถาม ที่แต่ละคนเป็นคนตอบคำถามนั้น)
ในวันที่รู้สึกว่าตัวเองอาจไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่แฟนๆ หรือตัวเองคาดหวัง มีอะไรที่เธอใช้เตือนตัวเองว่า “ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง”? แล้วมันช่วยให้ก้าวต่อไปได้ยังไง?
Kaning: แทบจะจำไม่ได้แล้วค่ะว่ารู้สึกแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่หนูคิดว่าคำตอบคือ “เวลา” ค่ะ
มันไม่ใช่แค่ว่าจะพูดกับตัวเองซ้ำๆ แล้วความรู้สึกแย่ๆ จะหายไปได้เลย เพราะสุดท้ายความรู้สึกมันก็ยังอยู่ แต่เวลาจะช่วยขัดเกลาเราจริงๆ
เมื่อเรารู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ” มันจะติดอยู่ในหัวแบบวนซ้ำ แต่พอปล่อยให้เวลาผ่านไป…อาทิตย์นึง เดือนนึง หรือเป็นปี กลับมาคิดอีกที เราอาจจะมองเห็นว่าตอนนั้นมันก็แค่นั้น ทุกคนก็ผิดพลาดกันได้เหมือนกัน
เคยรู้สึกไหมว่าตัวเองกำลัง “หลงทาง” สูญเสียตัวตนไปท่ามกลางบทบาทของการเป็นไอดอล? แล้วกลับมาเป็นตัวเองได้ยังไง?
Grace: หนูไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยค่ะ ตั้งแต่เข้าวงมาก็เป็นตัวเองมาตลอด ตอนแรกอาจจะมีช่วงปรับตัวอยู่บ้าง ตอนนั้นคิดว่าเป็น BNK48 ต้องแบ๊ว ต้องน่ารัก เลยพยายามลงแคปชั่น IG ให้น่ารักๆ ถ่ายรูปแบบคิขุอาโนเนะ แต่นั่นก็เป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง
พออยู่ไปก็เริ่มเข้าใจว่าไม่ต้องฝืนอะไรเลย หนูเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว และวงนี้ก็ทำให้หนู “หาตัวเองเจอ” มากขึ้นด้วยค่ะ
มีความฝันส่วนตัวอะไรที่เคยเก็บไว้เงียบๆ เพราะกลัวว่าจะดู “ใหญ่เกินไป” หรือเป็นไปไม่ได้บ้างไหม?
Nenie: หนูอยากเป็นนักบินอวกาศค่ะ อยากเข้าไปทำงานที่ NASA จริงๆ หนูชอบดูหนังไซไฟมาก ชอบแนว science, physics แล้วก็ชอบดู Star Wars
ตอนเด็กๆ เคยฝันว่าอยากไปอยู่ในอวกาศ แต่มันก็เป็นความคิดที่ไม่กล้าทำจริงๆ เพราะรู้สึกว่าไกลตัวมาก แต่ทุกครั้งที่ดูหนังพวกนั้น หนูก็จะฝันถึงเรื่องนี้อีก คิดเรื่องนี้ตอนจะนอน อยากไปสำรวจจักรวาล อยากเหยียบดวงจันทร์ อยากเซลฟี่กับธงที่เป็นรูปตัวเอง แล้วก็ทำมือกดไลก์ (หัวเราะ)
ถ้าให้เลือกหนึ่งบทเรียนจากชีวิตในวง ที่เปลี่ยนวิธีที่มองตัวเองหรือโลกใบนี้ เราจะเลือกบทเรียนไหน?
Sita: มันเป็นโมเมนต์ใหญ่ในชีวิตเลยค่ะ คือตอนที่หนูรับแมวมาเลี้ยง
ก่อนหน้านั้นหนูเป็นคนที่ใช้เหตุผลนำทางชีวิตมากๆ ทุกอย่างต้องมีเหตุผล แต่กับแมว…มันเปลี่ยนทุกอย่าง หนูสามารถให้มันได้ทุกอย่างเลย โดยไม่ต้องมีอะไรตอบแทน แค่ได้อยู่กับมัน หนูก็พร้อมจะให้ทั้งชีวิต
มันทำให้หนูรู้จัก “รักแบบไม่มีเงื่อนไข” เป็นครั้งแรก มัน Magic มากจริงๆ และหนูรู้สึกยินดีกับตัวเองมากๆ ที่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้
ถ้าได้มีโอกาสนั่งคุยกับตัวเองในวัยที่ยังไม่รู้จักวงการไอดอล เธอจะบอกอะไรกับตัวเองในตอนนั้น..เกี่ยวกับสิ่งที่รออยู่ในอนาคต?
Pancake: เอาจริงๆ หนูไม่อยากบอกอะไรเลยค่ะ กลัวว่าเขาจะสูญเสียความเป็นเด็ก เพราะคิดว่าเราในวัยเด็กน่าจะอยากเจอแค่ความสุข ความสนุก อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเต็มที่ เรียนรู้โลกด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากคำสอนของใคร
หนูอยากให้เขาค่อยๆ เจอทั้งสุขและทุกข์ รู้จักรสชาติของชีวิตไปตามจังหวะ ไม่ต้องรู้ล่วงหน้าทุกอย่าง
ถ้าได้เจอ…ก็คงบอกแค่ “รักนะคะน้องแพนเค้ก อย่าไว้ใจใครมาก และขอให้มีสติอยู่กับตัวเองเสมอ” แค่นั้นจริงๆ
ในฐานะไอดอลที่ต้องแสดงความสดใสตลอดเวลา เคยมีบ้างไหม…ที่รู้สึกว่าแอบซ่อนความเปราะบางไว้เบื้องลึกในใจ แต่ก็อยากให้คนอื่นเข้าใจมุมนั้นของเธอ?
Grace: หนูก็เคยรู้สึกแบบนั้นค่ะ โดยเฉพาะตอนเข้าวงแรกๆ แล้วไม่ติดเพลงเดบิวต์ของรุ่น และไม่ได้ขึ้นสเตจกับเทรนนีเลย
ตอนนั้นหนูคิดว่า “หรือเราไม่เหมาะกับทางนี้เลย?” แล้วก็ยังไม่ชินกับการเป็นไอดอลด้วย มันเลยไม่ได้แสดงออกให้ใครรู้ว่าเสียใจ
ไป Road Show ก็มีช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีคนเรียกชื่อ หรือไม่มีคนถ่ายรูปเราเลย ไม่รู้ว่าเรา “ยังไม่ดีพอ” หรือ “ไม่สวยพอ” หรือ “เต้นไม่เริ่ดพอ” แต่ตอนนี้ หนูปรับตัวได้แล้วค่ะ ชินกับมันมากขึ้น
Kaning: ความรู้สึกแบบนั้นน่าจะเกิดขึ้นตอนหนูเพิ่งเข้าวงใหม่ๆ เลยค่ะ หนูเป็นเด็กที่ไม่เคยเรียนร้อง ไม่เคยเรียนเต้นมาก่อน ชีวิตตอนนั้นก็แค่เรียนหนังสือไปวันๆ แล้ววันหนึ่งชีวิตมันก็เซอร์ไพรส์…เราได้มาอยู่ในวงนี้
ซิงเกิลแรกที่ติดก็มากับความกดดัน เพราะระบบมันไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้เท่ากัน แล้วเราก็ต้องเจอการฝึกหนักมาก ตอนนั้นมันทรมานมาก ถึงขั้นร้องไห้เลย แล้วก็ป่วยด้วย แต่ที่ผ่านมันมาได้ก็เพราะเพื่อนๆ เลยค่ะ เพราะไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ ทุกคนให้กำลังใจกันและกันว่า “เดี๋ยวเราก็ทำได้ เดี๋ยวก็ผ่านไป”
Nenie: สำหรับหนู มันคือความคาดหวังที่มีแล้วไม่ได้อย่างที่หวังค่ะ
เวลาที่ไม่ติดเพลง ไม่ได้งานที่อยากได้ มันจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “เรายังไม่ดีพอเหรอ?” หรือ “เราทำผิดพลาดตรงไหน?” เคยร้องไห้หนักมากตอนที่ไม่ติดเซ็มเพลงหนึ่ง เพราะเสียใจจริงๆ
แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมูฟออน แล้วใช้มันเป็นแรงผลักให้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อให้เขาเห็นว่า…เราก็เหมาะสมเหมือนกันนะ
Sita: เรื่องนี้มันเป็นธรรมชาติของการเป็นไอดอลเลยค่ะ ที่เราต้อง “สวิตช์” อารมณ์ทันทีที่เจอหน้าแฟนคลับ ไม่ว่าเราจะเหนื่อย จะเครียด จะรู้สึกยังไง…พอขึ้นเวที เราก็ต้องยิ้ม ต้องสดใสให้ได้เสมอ
แต่หนูคิดว่า มันคือหนึ่งใน “สกิล” ที่ได้เรียนรู้จากที่นี่ และจะติดตัวไปใช้ในโลกใบใหญ่ได้แน่นอน มันคือทักษะของความเป็นมืออาชีพ ที่แม้จะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ต้องยังวางตัวได้ดีต่อหน้าคนอื่นเสมอ
Pancake: มีครั้งหนึ่งที่หนูรู้สึกเฟลมากๆ ตอนออก Road Show แล้วรู้สึกว่าไม่มีใครมองหนูเลย หนูกำลังเต้นอยู่บนเวที แล้วรู้สึกว่าไม่มีใครมอง ไม่มีใครสนใจเลย มันดาวน์มากจริงๆ จนไม่มีแรงจะเต้นต่อ
หลังจากนั้น หนูก็เข้าไปปรึกษากับพี่ฮูพ ทำความเข้าใจอยู่กับตัวเองสักพัก แล้วก็ค่อยๆ ฮึบกลับขึ้นมาใหม่
ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น สงสัยน่าจะอยู่ในช่วงที่จิตใจอ่อนไหว แต่พอเวลาผ่านไป มองย้อนกลับมาจริงๆ แล้ว “ก็มีคนมองเราอยู่นะ” แค่ตอนนั้นเราอาจไม่เห็นเอง ส่วนตอนนี้ดีใจมากที่มีคนมาดูพวกเราเยอะขึ้นมากค่ะ
ถ้า BNK48 & CGM48 เป็นเหมือนสมุดบันทึกที่เก็บเรื่องราวของเธอไว้ เธออยากให้ “หน้าสุดท้าย” ของสมุดเล่มนี้ เขียนไว้ว่าอะไร?
Sita: หนูชอบ ไททัน มากค่ะ แล้วตอนสุดท้ายของเรื่องนั้นมันชื่อตอนว่า ถึงเธอ…ในสองพันปีที่แล้ว ถ้าเป็นของหนู ก็อาจจะใช้ชื่อว่า “ถึงเธอ…ในหกปีที่แล้ว” ก็ได้
หรืออีกแบบก็อาจจะจบด้วยประโยคง่ายๆ ว่า “นี่คือเรื่องราวของไอดอลคนหนึ่ง” บนโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนอีกมากมายที่ต่างมีเรื่องราวของตัวเอง เพราะฉะนั้น…ใช้วิจารณญาณในการรับชม
Kaning: ถ้าเป็นหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก หนูจะวาดรูปเมมเบอร์ CGM48 รุ่น 1 ทุกคนเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่ารูปภาพมันสื่ออะไรได้มากกว่าคำพูด
แต่จริงๆ คือหนูเขียนไม่เก่ง เขียนผิดเขียนถูกอยู่บ่อยๆ (หัวเราะ) แต่หนูอินกับภาพมากกว่า เหมือนกำแพงวาดรูปที่หอ CGM48 ทุกครั้งที่เดินผ่าน เห็นภาพพวกนั้นแล้ว ความทรงจำมันจะผุดขึ้นมาอัตโนมัติ แม้ว่าโดยปกติหนูจะจำอะไรไม่ค่อยได้ก็ตาม
Nenie: หนูจะเขียนว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก ขอบคุณที่เข้ามาในช่วงชีวิตของฉันตลอด 6 ปีที่ผ่านมา” ขอบคุณที่เป็นความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาที่เป็นไอดอล
ถึงจะไม่ได้อยู่บนเส้นทางนี้แล้ว แต่หนูก็ไม่ได้หายไปไหนนะ ยังอยู่ตรงนี้เสมอ
และอยากให้ทุกคนติดตามในบทบาทอื่นๆ ต่อไป
ทุกครั้งที่ย้อนดูรูป หรือนึกถึงเรื่องราวในอดีต ก็อยากให้รู้ว่า…หนูก็ยังเป็น “นีนี่” คนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นใครที่ไหน
Grace: ของหนู ถ้าเป็นหน้าสุดท้าย จะเลือกแปะรูปโพลารอยด์กับเพื่อนๆ หลายๆ ภาพ ตั้งแต่วันแรกที่เข้าวงจนถึงวันนี้ แล้วเขียนไว้แค่ว่า “จบแล้วนะ…ชีวิตไอดอล”
หนูอินกับภาพมากกว่าคำเขียน เพราะเป็นคนความจำสั้น ถ้าให้เขียนยาวๆ อาจไม่อินเท่าเห็นภาพที่เก็บทุกความรู้สึกไว้ได้ทันทีที่มอง
Pancake: หนูจะเขียนว่า “ขอบคุณที่ตัดสินใจมาเป็น BNK48” แล้วก็ต่อด้วย “ขอบคุณที่เติบโตมาอย่างดี และดีใจที่ได้สนุกกับทุกงาน ทุกโอกาสที่ได้รับ”
เพราะถ้าย้อนเวลากลับไป แล้วไม่ได้เข้ามาอยู่ในวงนี้ หนูว่ามันคงน่าเสียดายมากๆ ที่ไม่ได้ทำในหลายๆ อย่างที่อยากทำ ดีใจที่ได้ตามความฝันของตัวเอง และดีใจที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้จริงๆ
ถ้าได้พูดกับแฟนคลับที่สนับสนุนมาตลอด เธออยากบอกอะไรกับพวกเขา..ผู้ที่ร่วมเดินทางมากับเธอจนถึงวันนี้?
Pancake: ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนหนู และเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้ค่ะ
หนูยอมรับเลยว่า หนูเริ่มต้นมาจากแถวหลัง แต่ดีใจมากที่ทุกคนให้โอกาส และเชื่อมั่นในตัวหนู จนทำให้วันนี้หนูได้มายืนเป็นเซ็นเตอร์ หนูตั้งใจอย่างเต็มที่กับซิงเกิลนี้ เพราะอยากตอบแทนในสิ่งที่ทุกคนมอบให้ หวังว่าทุกคนจะรักเพลงนี้เหมือนที่หนูรักนะคะ Love you
Grace: คำแรกเลยคือ “ขอบคุณ” ค่ะ รู้ดีว่าเส้นทางนี้ไม่ได้ง่ายเลย บางคนต้องอดหลับอดนอน แบ่งเวลา แบ่งเงินมาเพื่อสนับสนุนหนู ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน หรืออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เดบิวต์ หนูรับรู้ถึงความพยายามของทุกคนจริงๆ
ขอบคุณที่อยู่กับหนูมาโดยตลอด หลังจากนี้ หนูจะทำให้ทุกเวลาที่ทุกคนให้มา…ไม่สูญเปล่า อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคะ รักนะคะ จุบุจุบุ
Nenie: ขอบคุณที่ซัพพอร์ตเด็กคนนี้ค่ะ ขอบคุณที่เติบโตมาด้วยกัน หนูเคยมีวันที่รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย แต่แค่เห็นรอยยิ้มจากแฟนคลับ หรือกำลังใจที่ส่งมา หนูก็ฮึบขึ้นมาได้ทุกครั้งเลย
ถ้าไม่มีพวกคุณ หนูคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่ให้โอกาสได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะทุกคนช่วยโหวต หนูถึงได้ไปญี่ปุ่น ได้เต้นเพลงนี้ ได้ทำหลายสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้
อยากบอกว่า…ถ้าการเห็นหนูยิ้มคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ ตอนนี้หนูกำลังยิ้มกว้างมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ
Kaning: อยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนค่ะ เพราะในช่วงวัยทำงานที่ผ่านมา หนูได้รับพลังและสิ่งดีๆ มากมายจากทุกคนเลย
ทุกครั้งที่หนูพูดออกไปว่าอยากได้อะไร แล้วเขาสามารถมอบมันให้ได้ มันไม่ใช่เพราะโชค แต่มันคือการเติบโตมาด้วยกัน
หนูไม่เห็นหรอกว่าทุกคนทำอะไรบ้าง แต่มันแสดงออกในผลลัพธ์เสมอ และขอบคุณที่มองเห็นบางอย่างในตัวหนู อาจจะเป็นความหวัง หรือภาพสะท้อนของตัวเขาเองก็ได้ ขอบคุณที่อยู่กับเด็กคนนี้เสมอมาค่ะ
Sita: หนูรู้สึกเหมือนมันคือโชคชะตาค่ะ ที่ทำให้เราได้มาเจอกัน เพราะเราเลือกแฟนคลับไม่ได้ แต่แฟนคลับเลือกเราได้ แล้วมันกลับกลายเป็นว่า…คนที่ชอบอะไรคล้ายกัน ได้มาอยู่ร่วมกัน เพราะความธรรมดาของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
มันคือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง ที่ได้เจอคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีพื้นเพอะไรเหมือนกันเลย แต่กลายเป็นครอบครัวกันได้ ขอบคุณที่รักหนูแบบไม่มีเงื่อนไข เหมือนที่หนูรักแมวของหนู สัญญาว่าจะไม่ทำแจกันแตก ไม่กินเปียกเยอะแล้วนะคะ (หัวเราะ)
รู้ว่าที่ผ่านมา หนูอาจจะ “ดูดพลังชีวิต” ของทุกคนไปเยอะมาก ทั้งตอนเลือกตั้งหรือเวลาที่อยากได้อะไรบางอย่าง แต่จากนี้..อยากให้ทุกคนมีความสุขด้วยตัวเองให้ได้ และหนูก็จะพยายามทำให้ได้เช่นกัน รักทุกคนเสมอ เหมือนวันแรกที่เรารู้จักกันเลยค่ะ