ภายหลังเปิดการเสนอขายหุ้น IPO เป็นครั้งแรกด้วยราคา 43 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,285 บาทต่อหุ้น ปรากฏว่าเมื่อปิดตลาด แอปพลิเคชันเดต Bumble สามารถปิดตลาดด้วยราคา 70.31 ดอลลาร์ หรือราว 2,101 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 85% ส่งผลให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นดอลลาร์ หรือ 4.2 แสนล้านบาท
Bumble เปิดขายหุ้น IPO จำนวน 50 ล้านหุ้น เพื่อระดมทุน 2.15 พันล้านดอลลาร์ หรือ 6.4 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายนำเงินดังกล่าวมาชำระหนี้ รวมไปถึงการเข้าซื้อกิจการอื่นๆ เพื่อปูทางไปสู่การเติบโตในระดับนานาชาติ
แอปฯ ดังกล่าวก่อตั้งในปี 2014 โดย วิทนีย์ วูล์ฟ เฮิร์ด (Whitney Wolfe Herd) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งอายุ 31 ปี และเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดที่มีบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ หลังจากแตกหักกับ Tinder ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง
วูล์ฟ เฮิร์ดมองว่า เธอต้องการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีผู้หญิงหลายคนที่กำลังรอความรักอยู่ แต่ทำไมต้องให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ดังนั้น Bumble จึงกลายเป็นแอปฯ ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มจีบก่อน โดยหลังปัดเจอกันแล้วผู้หญิงจะต้องทักไปภายใน 24 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นการจับคู่จะหายไป
ในจดหมายถึงนักลงทุน วูล์ฟ เฮิร์ดกล่าวว่า ผู้หญิงที่เคลื่อนไหวครั้งแรกถือเป็น “การเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลัง”
“กระแสความคิดเรื่องเพศที่คร่ำครึและธรรมเนียมปฏิบัติล้าสมัยยังคงมีอิทธิพลต่อโลกของการออกเดต” เธอกล่าว “สิ่งนี้นำไปสู่พลวัติเชิงลบที่ลดทอนพลังของผู้หญิง และสร้างแรงกดดันที่ไม่จำเป็นต่อผู้ชาย”
Bumble คาดว่าจะมีรายรับสูงถึง 541.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 หมื่นล้านบาท ระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2020 เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของลูกค้าที่จ่ายเงิน
โดย Bumble มีผู้ใช้งาน 42 ล้านคนต่อเดือน ณ สิ้นเดือนกันยายน ซึ่ง 2.5 ล้านคนเป็นผู้ใช้ที่จ่ายเงินเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน ขณะเดียวกัน Bumble ก็มีหนี้ 900 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.7 หมื่นล้านบาท
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
