×

5 เรื่องโลกออนไลน์ทำลายชีวิตจากซีรีส์เสียดสีสังคม Black Mirror

04.07.2019
  • LOADING...
Black Mirror

หากพูดถึงซีรีส์ดังจาก Netflix แน่นอนว่ามีมากมายจนไล่แทบไม่หมด แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจตั้งแต่ซีซันแรกที่ปล่อยออกมาก็คือ Black Mirror ซึ่งเนื้อเรื่องจะสะท้อนและเสียดสีชีวิตของสังคมในยุคปัจจุบัน นับว่าเป็น Science Fiction ที่ถูกเรียบเรียงและเล่าออกมาอย่างชาญฉลาด พูดถึงความสามารถที่ร้ายกาจในการเข้าถึงเทคโนโลยีของมนุษย์ซึ่งก่อให้เกิดหายนะมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม และดูเหมือนว่าแต่ละเรื่องถูกกลั่นกรองออกมาเป็นอย่างดีเพื่อให้คนดูรับรู้ถึงความเสมือนจริงที่เข้าถึงได้ง่ายมากที่สุด

 

การเล่นกับจิตใจคนคือความถนัดของซีรีส์เรื่องนี้ Black Mirror จึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนเอาความมืดของคนแต่ละคนออกมาให้เห็นว่าเป็นอย่างไร วันนี้เราจึงขอยก 5 เรื่องที่ว่าด้วยเรื่องของโลกออนไลน์ที่ย้อนกลับมาทำลายชีวิตมนุษย์ ซึ่งเชื่อเถอะว่าถ้าคุณได้ดู 5 ตอนนี้แล้วจะเสียวสันหลังไปกับเนื้อเรื่อง เพราะมันอยู่ใกล้ตัวพวกเรามากจริงๆ

 

Black Mirror

 

Fifteen Million Merits (Season 1)

Fifteen Million Merits คือตอนแรกที่ Black Mirror ปล่อยออกมา โดยในซีรีส์เรื่องนี้ ออร์เวลเลียน คาลูยา รับบทเป็น บิง ชายผู้อาศัยอยู่ในโลกสมมติที่ถูกบังคับให้ต้องปั่นจักรยานเพื่อเก็บเงิน Merits ไว้ในระบบออนไลน์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และคอยดูโทรทัศน์ทุกวัน ซึ่งเป็นการเสียดสีสังคมก้มหน้า สังเกตได้ง่ายๆ ว่าไม่มีสมาร์ทโฟนให้เล่นเลย เพราะจะมีหน้าจออยู่ทุกที่ ถึงตอนนี้จะเป็นการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน คนอ้วนอยู่ในระดับล่างสุด ทำหน้าที่ทำความสะอาด ยกระดับขึ้นมาอีกนิดก็จะได้มาปั่นจักรยาน ซึ่งคือชนชั้นแรงงานที่สูง และต่อมาคือพวกนักวิจารณ์ ชนชั้นที่สูงขึ้นอีกระดับ แต่สุดท้ายระดับก็ไม่ใช่จุดสูงสุดของทุกคน 

 

เรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีที่มาที่ไปมากนัก แต่ว่ามันซับซ้อนและน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะเรื่องของบิง ตัวเอกของเรื่องที่ต้องไร้ความรู้สึกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นซ้ำๆ รอบตัวทุกวัน จนกระทั่งเขาได้เจอกับความรักที่มาพร้อมผู้หญิงที่ชื่อ เอบิ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการที่จะได้ไปประกวดร้องเพลงเพื่อให้ได้เงิน 15 ล้าน Merits และหลุดพ้นจากวังวนจักรยานแห่งนี้ และเธอก็คือสาเหตุที่ทำให้เขามีจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่

 

Black Mirror

 

The Entire History of You (Season 1)

จะดีไหมถ้าเราย้อนกลับไปมองอดีตของตัวเองได้ นี่คือหนึ่งในอีกตอนที่สร้างทั้งข้อสงสัยและความตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องดีที่คนเราจะได้มองย้อนกลับไปว่าทำอะไรพลาดบ้างในอดีต แต่ก็อาจจะมีอีกมุมที่สร้างความขมขื่นจากอดีตแบบถอนตัวไม่ขึ้น 

 

ซีรีส์ตอนนี้กำกับโดย ไบรอัน เวลช์ และได้ผู้มารับบทนำที่น่าสนใจในตัวละครชื่อ เลียม รับบทโดย โทบี เคบเบลล์ เขาถ่ายทอดมุมมองของความท้อแท้กับชีวิตที่เพิ่งล่มสลายของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี ตัวละครที่ถูกกดดันจากโลกรอบข้าง ซ้ำยังมาเจอเรื่องเคลือบแคลงใจกับความสัมพันธ์อีก เรียกว่าเราต้องคอยลุ้นไปกับจิตใจของเขาตลอดทั้งเรื่องว่าจะตัดสินใจทำอะไร หรือแม้การที่จะต้องคาดเดาและมองย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆ กับตัวละคร

 

เทคโนโลยีที่พูดถึงในตอนนี้มีชื่อว่า เกรน เป็นจุดหลักที่สะท้อนด้านมืดของพฤติกรรมมนุษย์ได้เป็นอย่างดี และสร้างข้อขัดแย้งจากการจับผิดได้ไม่มีที่สิ้นสุด โดยเจ้าเครื่องนี้จะถูกฝังเข้าไปหลังใบหูของทุกคน ซึ่งช่วยแสดงให้เห็นทุกอย่างในอดีตที่ผ่านมาเพื่อความปลอดภัยในการตรวจคดีอาชญากรรม ซึ่งพล็อตเรื่องนี้ถือว่าคิดมาได้อย่างรอบคอบและน่าสนใจมาก

 

Black Mirror

 

Nosedive (Season 3)

อย่างที่เรารู้กันว่า Black Mirror คือซีรีส์ไซไฟที่ทำออกมาได้เสียดสีสังคมมากที่สุดจนเรียกว่าเจ็บจี๊ดในหลายๆ คอนเทนต์ และในซีรีส์ตอนที่ดูจะเข้าถึงและเป็นไปได้มากที่สุดกับชีวิตมนุษย์ก็คือตอน Nosedive

 

เล่าถึงเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ เลซี่ (รับบทโดย ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด นักแสดงนำจากเรื่อง Jurassic World) โดยเธอต้องอยู่ในสังคมที่วัดความดีกันด้วยคะแนนโซเชียล ซึ่งไม่ได้ต่างกับชีวิตในโลกปัจจุบันที่หลายคนอยู่ได้ด้วยยอดไลก์ แต่เรื่องนี้มันมากกว่า เพราะมันวัดกันไปถึงคุณภาพของชีวิตและการมีพื้นที่ยืนอยู่ในสังคม การทำงาน รวมไปถึงเรื่องของข้อกฎหมาย ความทะเยอทะยานของคนที่พยายามจะขึ้นไปอยู่บนจุดยอดสุดของความโด่งดังเพื่อให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ (คุ้นๆ กับชีวิตที่พวกเราเจออยู่ตอนนี้ไหม) 

 

เลซี่เป็นอีกคนที่พยายามอยู่ในสังคมที่ดูปลอมตลอดเวลา แค่การยิ้มทักทายในตอนเช้ากับใครสักคนเท่านั้นก็เรียกคะแนนให้กับชีวิตของเธอได้ จนเธอได้มาพบกับเพื่อนวัยเด็กที่สวยและรวยมาก อีกทั้งยังได้รับโอกาสดีๆ ที่จะได้เป็นเพื่อนเจ้าสาวของเพื่อนที่โด่งดังคนนั้น นับว่าเป็นบันไดอีกก้าวของเลซี่ที่จะพาเธอไต่ขึ้นไปถึงสิ่งที่ใฝ่ฝันคือได้การครอบครองบ้านที่หรูหราของตัวเอง 

 

เลซี่ได้แสดงถึงสังคมปัจจุบันที่กำลังจะก้าวลงไปถึงจุดเดียวกับซีรีส์ได้ มันดูเกิดขึ้นได้จริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เลซี่ใช้พลังงานทุกด้านที่เธอมีไปกับการไขว่คว้าชีวิตอันเจิดจรัสจนลืมมองถึงความพอดีที่ควรมี ไม่ต่างจากคนในยุคปัจจุบันที่หลงอยู่ในความโด่งดังบนโลกโซเชียล จนถึงวันหนึ่งที่พังลงก็ลืมการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไปเสียแล้ว

 

Black Mirror

 

Hated in the Nation (Season 3)

ซีรีส์ตอนนี้เป็นเรื่องราวที่คุ้นเคยกันดีกับการล่าแม่มดบนโลกออนไลน์ มีความยาวถึง 89 นาที กำกับโดย เจมส์ ฮาเวส

 

เรื่องราวในตอนนี้พูดถึง ปาร์ก (รับบทโดย เคลลี แมคโดนัลด์) และบลู (รับบทโดย เฟย์ มาร์เซย์) เป็นสองเจ้าหน้าที่สืบสวนในคดีการตายอย่างลึกลับของ โย พาวเวอร์ ที่เพิ่งถูกคุกคามทางอินเทอร์เน็ตอย่างหนักถึงขั้นสาปแช่งให้เธอตาย โดยคดีนี้ต่อเนื่องไปถึงคดีของนักร้องดังที่มีประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ ซึ่งเสียชีวิตอย่างลึกลับเช่นกัน นั่นทำให้พวกเขาต้องตามหาว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังการตายนี้กันแน่ 

 

กฎหมู่ที่เหนือกฎหมายยังเป็นประเด็นหลักที่ซีรีส์ตอนนี้ใช้เล่าเรื่องราวทั้งหมด หากเรามองลึกลงไปอีกนิด เราจะเห็นว่าซีรีส์แทบจะไม่ต่างจากเรื่องราวปัจจุบันของโลก ณ ตอนนี้เลย ทั้งสังคมโซเชียลที่มีนักล่าแม่มดที่ขาดสติในการกระทำของตัวเองหลังคีย์บอร์ด การเฮโลอย่างไร้เหตุและผลตามความเชื่อที่เข้าใจเพียงด้านเดียว เหล่านี้ได้ทำให้เรื่องเล็กน้อยกลับกลายเป็นเรื่องราวระดับชาติจนไปถึงระดับโลกก็ย่อมเป็นไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องพูดเยอะหรือไม่ต้องหาอะไรมาซัพพอร์ต เพราะเชื่อว่าหลายคนที่ดูก็เข้าใจ เพราะเรื่องราวมันเกิดขึ้นในทุกวันบนโลกจริงที่เราอาศัยกันอยู่ เพียงแค่ยังไม่มีใครตายแบบปริศนาเท่านั้นเอง

 

Black Mirror

 

Smithereens (Season 5)

ใครจะไปรู้ว่าโลกออนไลน์จะทำให้ใครคนหนึ่งดำดิ่งสู่ห้วงลึกของความเศร้าได้ขนาดนี้ ในเรื่องนี้ คริสโตเฟอร์ (รับบทโดย แอนดรูว์ สก็อตต์) ชายหนุ่มผู้เสียศูนย์จากเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิต ทำให้เกิดเรื่องราวที่ทำให้เขาทำเรื่องที่ค้างคาใจจนตัดสินใจจับเด็กหนุ่ม เจเดน (รับบทโดย แดมสัน ไอดริส) จากบริษัทยักษ์ใหญ่มาเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องที่จะพูดคุยกับซีอีโอของบริษัท

 

เหตุการณ์เกิดขึ้นในรถคันเล็กๆ แต่สร้างความกดดันสูงจนต้องลุ้นระทึกไปทุกๆ การขยับตัวของทั้งคู่บนรถ หรือแม้แต่บทสนทนาเล็กๆ ก็สร้างแรงกดดันให้กับคนดูอย่างมาก เราจะเริ่มเห็นความน่ากลัวของโลกออนไลน์หลายอย่าง ทั้งการที่บริษัทแอปพลิเคชันยักษ์ใหญ่เข้าไปสืบค้นประวัติและข้อมูลส่วนตัวของคริสโตเฟอร์ได้มากกว่าตำรวจ ไปจนถึงการเชื่อมต่อแบบไร้พรมแดน 

 

มันจึงทำให้เราฉุกคิดว่าทุกวันนี้เราเสียข้อมูลส่วนตัวลงไปในโลกออนไลน์มากแค่ไหน ทั้งโลเคชันในการโพสต์เรื่องต่างๆ อาชีพการงาน หรือแม้แต่เรื่องราวในชีวิตประจำวันแบบนาทีต่อนาที แต่มันไม่ได้มีแค่เพียงเรื่องราวเหล่านี้ที่ทำให้ชีวิตพัง เพราะยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ใครหลายๆ คนทำ แต่อาจจะยังไม่โดนเข้ากับตัวเอง ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรนั้น เราขอให้คุณไปติดตามเอง แล้วจะรู้ว่าเรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นในเรื่องมันใกล้ตัวคุณมากๆ

 

ภาพ: Netflix

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising