วานนี้ (19 พฤษภาคม) ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ เวทีปราศรัยโค้งสุดท้ายของ รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) หมายเลข 7 มีการนำเสนอนโยบาย พร้อมผู้สนับสนุนร่วมปราศรัย โดยมี พล.ต. จำลอง ศรีเมือง อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และอดีตผู้ว่าฯ กทม. ปี 2528 และ 2531 ร่วมให้กำลังใจ
สำหรับยุทธศาสตร์โค้งสุดท้าย รสนาได้ประกาศแคมเปญ ‘ไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่’ พร้อมระบุรายละเอียดว่า เป็นยุทธศาสตร์ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง และต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ เพื่อหักล้างยุทธศาสตร์ ‘ไม่เลือกเรา เขามาแน่’
รสนายังอธิบายว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมืองเป็นพระบรมราโชวาทของรัชกาลที่ 9 ความว่า “ในบ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้หมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”
คนดีในที่นี้ทรงพระราชทานความหมายไว้ในหลายโอกาสว่าต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต และการหยุดการทุจริตนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงเคยมีพระราชดำรัสแก่คณะผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ในโอกาสเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ความตอนหนึ่งว่า
“ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าขอให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สุจริต และมีความตั้งใจมุ่งมั่นสร้างความเจริญ ขอให้ต่ออายุได้ถึง 100 ปี ส่วนคนไหนที่อายุมากแล้วขอให้แข็งแรง ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย…”
หากน้อมนำพระบรมราโชวาทใส่เกล้าใส่กระหม่อมแล้วจะเห็นว่า การทุจริตแม้เพียงนิดเดียวก็ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมของข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่ไม่สมควรเข้ามาบริหารบ้านเมืองเลย แต่ถ้าไม่มีการทุจริต พระองค์ท่านตรัสว่า “ภายใน 10 ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ”
ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทที่ในหลวงทรงตรัสในคราวเดียวกันอีกว่า “ต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง”
รสนาระบุอีกว่า นี่คือที่มาของนโยบายรวบยอดของดิฉันที่ว่า ‘ต้องหยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่’ ดังนั้นดิฉันจึงขอย้ำว่า ขอให้พี่น้องชาว กทม. เลือกผู้ว่าฯ ตามแนวทางแห่งพระบรมราโชวาท ซึ่งอยู่บนหลักการของการส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ผู้บริหารที่ดีต้องไม่ทุจริตแม้แต่นิดเดียว และต้องหยุดการทุจริตให้สำเร็จ
ขณะนี้มีคอลัมนิสต์สื่อใหญ่ ส.ส. และพรรคการเมืองบางพรรคออกมาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คน กทม. มาลงคะแนนเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ โดยอาศัยดูคะแนนจากผลโพลที่สุ่มมาเพียงพันกว่าคน ที่อาจมีการจ้างเพื่อปั่นคะแนนมาจูงกระแสให้เสียงจริงของชาว กทม. กว่า 4 ล้านคน หลงเลือกคนที่มีผลคะแนนสูงสุดตามโพล เพื่อใช้ยุทธศาสตร์ ‘ไม่เลือกเรา เขามาแน่’ แม้คนนั้นจะไม่ใช่คนที่เราศรัทธาหรือชื่นชอบก็ตาม ต้องกลืนเลือด ฝืนใจ เพื่อเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ คล้ายกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 2556 ที่ใช้ยุทธศาสตร์ ‘ไม่เลือกเรา เขามาแน่’ แต่สร้างความเสียหายภายหลัง ชาว กทม. ได้ประโยชน์อะไรบ้างจากยุทธศาสตร์นั้น
หากเลือกคนที่ถูกกำหนดด้วยมายาคติว่าเป็นพวกของตัวเองไปปกครองบ้านเมือง แต่เขาไปโกงบ้านกินเมือง มันจะมีประโยชน์อะไร มันดีต่อประชาชนชาว กทม. อย่างไร
ยุทธศาสตร์ไม่เลือกเรา เขามาแน่ เป็นมายาคติที่ฝ่ายการเมืองใช้ปั่นหัวประชาชน เพื่อให้เลือกฝ่ายตัวเองที่มีธุรกิจการเมืองแอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่
ยุทธศาสตร์เบื้องหลังที่แท้จริงคือ ‘ยุทธศาสตร์แบ่งแยกเพื่อปกครอง’ และมาโกงกินภาษีของประชาชน ใช่หรือไม่
ประชาชนชาว กทม. จะได้ประโยชน์อะไร ถ้าฝ่ายที่เราเลือกมาแล้วโกงกินบ้านเมือง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไม่ต่างกัน
เมื่อปี 2556 เลือกผู้ว่าฯ ด้วยยุทธศาสตร์นี้ และสิ่งที่คน กทม. ได้ เช่น
- อุโมงค์ยักษ์มูลค่ารวมหลายหมื่นล้าน แต่ไม่สามารถแก้น้ำท่วมได้
- การทำสัญญาจ้าง BTS เดินรถในส่วนต่อขยาย ไปถึงปี 2585 เป็นการล็อกสเปกเอื้อประโยชน์ให้ BTS ใช่หรือไม่ ทั้งยังเป็นสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ กทม. ไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ทำไปถึงปี 2585 ด้วยงบประมาณ 1.61 แสนล้านบาท โดยรู้ดีว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลักจากหมอชิต-อ่อนนุช ที่ให้สัมปทาน BTS 30 ปี สมัย จำลอง ศรีเมือง จะหมดอายุสัมปทานในปี 2572 เป็นการล็อกสเปกเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ BTS ใช่หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ถูกฟ้องอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
- ซุ้มไฟปีใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว งบ 39 ล้านบาท
เมื่อเกิดการรัฐประหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช. สั่งปลดผู้ว่าฯ กทม. จากการเลือกตั้ง ด้วยข้อหาพัวพันทุจริตซุ้มไฟปีใหม่มูลค่า 39 ล้านบาท แต่กลับไม่ยกเลิกสัญญาจ้างเดินรถของอดีตผู้ว่าฯ คนเดียวกัน มูลค่า 1.61 แสนล้านบาท ทั้งที่ คสช. มีอำนาจตามมาตรา 44 ที่จะแก้ไขสิ่งผิดได้ แต่กลับสวมตอเดินเรื่องจะต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท ใช่หรือไม่
ดังนั้นเพื่อสร้างเงื่อนไขการต่อสัมปทาน จึงปล่อยให้ผู้ว่าฯ กทม. ที่ตนเองแต่งตั้งขึ้น เปิดการเดินรถในส่วนต่อขยายจนเกิดหนี้สินพอกพูน เพื่อเป็นข้ออ้างหลอกลวงประชาชนชาว กทม. ว่าจำเป็นต้องต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าที่กำลังจะหมดสัมปทานในปี 2572 ไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท ใช่หรือไม่
ทั้งที่ดูจากงบการเงินของ BTS ในปี 2562/2563 ต้นทุนการเดินรถทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยายมีต้นทุนเพียงเที่ยวละ 15.70 บาทเท่านั้น
รสนาระบุอีกว่า เมื่อดิฉันประกาศนโยบายไม่ต่อสัมปทานและให้ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียว 20 บาท คือการประกาศสู้กับการทุจริตเชิงนโยบายที่ฝ่ายการเมืองและฝ่ายธุรกิจกำลังรวมหัวกันสร้างเงื่อนไขให้ กทม. ต้องต่อสัมปทานไปอีก 30 ปี ในราคา 65 บาท จึงมีทั้งคอลัมนิสต์สื่อและอดีตนักการเมืองบางคนออกมาโจมตีดิฉันว่าทำไม่ได้ เพื่อให้คน กทม. ไม่เลือกรสนา
จึงมีการใช้วิชามารออกมาโฆษณาชวนเชื่อว่า ‘เลือกรสนา จะได้ชัชชาติ’ ตามหลักพุทธศาสนา ปลูกต้นไม้อะไรก็ได้ผลไม้อย่างนั้น ปลูกมะม่วงย่อมได้มะม่วง
‘เลือกรสนาเป็นผู้ว่า กทม. ย่อมได้รสนาเป็นผู้ว่าฯ กทม.’
ในทางตรงกันข้าม ‘ถ้าไม่เลือกรสนา ชัชชาติมาแน่’ เพราะคนที่จงรักภักดีและยึดมั่นในพระราชดำรัสจะไม่มีวันเทคะแนนให้คนโกงไปปกครองบ้านเมือง อย่างไรก็เสียงแตก มีแต่เลือกรสนาที่ยึดมั่นในพระบรมราโชวาทเท่านั้นจึงจะมีโอกาสชนะชัชชาติได้
รสนาระบุอีกว่า ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โปรดเลือกผู้ว่าฯ กทม. ที่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง เพื่อหักล้างยุทธศาสตร์ ‘ไม่เลือกเรา เขามาแน่’ ที่เพียงแต่อ้างว่าจงรักภักดีต่อสถาบันพระประมุข โดยไม่สนใจต่อต้านคนทุจริตในฝ่ายของตัวเอง
ขอให้คน กทม. ที่เคยเลือกดิฉันมา 743,397 คะแนน เมื่อปี 2551 ออกมาแสดงมติต้องการคนดีไปบริหาร กทม. เพื่อหยุดการทุจริตให้สำเร็จ
เมื่อประชาชนมีความเชื่อว่า เราจะสามารถฝ่าฟันวงจรแห่งการทุจริตจากเงินไปสู่อำนาจและอำนาจไปสู่เงินของทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายทหารและฝ่ายการเมือง เมื่อประชาชนเชื่อพร้อมๆ กัน ชาว กทม. จะสามารถหักผลโพลและยุทธศาสตร์มายาคติ ไม่เลือกเรา เขามาแน่ ได้ เหมือนสมัย จำลอง ศรีเมือง ที่หักผลโพล การเป็นม้านอกสายตาหรือเป็นแค่สินค้าแบกะดิน จะเอาชนะนักการเมืองที่มีชื่อเสียงได้อย่างไร แต่ชาว กทม.ในรุ่นเบบี้บูมเมอร์ก็เคยทำมาแล้ว
“คืนนี้ดิฉันมายืนอยู่เบื้องใต้พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ทรงนำทัพคนไทยเพียง 500 คน ที่ปรารถนาจะกอบกู้บ้านเมืองเข้าตีเมืองจันทบุรี จนสามารถรวมไพร่พลกอบกู้บ้านเมืองจนสำเร็จ ดิฉันก็มายื่นใบสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้มุ่งหวังตำแหน่งและอำนาจเพื่อตัวเอง แต่เพื่อเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เข้าไปเปิดประตูเมือง เพื่อให้น้ำสะอาดเข้าไปชะล้างสิ่งโสมมจากการทุจริตโกงกินภาษีของประชาชน
“ดิฉันจะเป็นเครื่องมือที่ดีสุดให้กับชาว กทม. ที่จะต่อสู้เพื่อกอบกู้ กทม. จากการทุจริตไปเป็นเมืองที่มีธรรมาภิบาล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีถ้วนหน้าของชาว กทม. ทุกคน
ขอให้ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างแท้จริงมาร่วมกอบกู้กรุงเทพฯ ให้ปลอดจากการทุจริตด้วยกัน” รสนากล่าวในท้ายที่สุด