วานนี้ (15 พฤษภาคม) พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวถึงประเด็นเรื่องจุดแข็ง-จุดอ่อนของตัวเองว่า คนอาจจะมองว่าตนเองอยู่มานานแล้ว อาจมองไม่เห็นปัญหา อายุเยอะแล้ว คนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ อาจต้องเป็นคนรุ่นใหม่หรือเปล่า แต่อายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่มีขีดจำกัดใดมาขวางกั้นในการทำงาน คนที่ทำงานมานาน มีประสบการณ์สูง เคยทำงานมาแล้ว และในส่วนของปัญหาที่มองว่าตนอยู่มานาน อาจมองไม่เห็นปัญหานั้น ที่ผ่านมาทำงานแก้ปัญหามาตลอด แต่มันก็ยังไม่จบ จึงขออาสามาทำต่อ และเพราะตนเคยทำงานมาเลยถูกติติง แต่คนที่ไม่เคยถูกติติงนั่นแหละคือคนที่ไม่เคยทำ และตนก็มีประสบการณ์และมีทีมงานคนรุ่นใหม่ ซึ่งเรื่องช่องว่างระหว่างวัยต้องไม่มีในการทำงาน
ขณะที่วานนี้ เวลา 17.00 น. พล.ต.อ. อัศวินเดินทางต่อไปยังเวทีปราศรัยใหญ่กลุ่มโซนกรุงเทพฯ เหนือ ณ โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง รามอินทรา พล.ต.อ. อัศวินได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนขึ้นเวทีปราศรัยว่า วันนี้เป็นการมาตอกย้ำกับการพูดถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาแล้วและขอสานต่อ พร้อมกล่าวถึงการหาเสียงโค้งสุดท้ายเน้นการปราศรัยใหญ่ตามโซนใหญ่ใน กทม. เพื่อให้คนในชุมชนให้เข้าถึงนโยบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีการจัดอย่างอย่างเนื่องอีก 4 ครั้งก่อนปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายวันที่ 20 พฤษภาคมที่ลานคนเมือง ซึ่งมองว่าการปราศรัยเข้าถึงคนเมืองมากกว่าการไปพูดตามเวทีดีเบต
อีกทั้งก่อนหน้าเคยไปร่วมเวทีดีเบตกับหลายสื่อมากกว่า 10 ครั้งในโค้งสุดท้ายจึงปฏิเสธกับหลายสื่อไป เพราะโปรแกรมการหาเสียงได้กำหนดไว้หมดก่อนหน้าแล้ว และยืนยันไม่ได้รังเกียจการดีเบต แต่อยากใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่ามากที่สุด
โดยช่วงหนึ่งของการปราศรัย พล.ต.อ. อัศวินได้เน้นย้ำหากกลับมาเป็นผู้ว่าฯ จะแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องแรก หลังจากวิกฤตโควิดที่กำลังจะผ่านไป โดยจะขอ ‘ปิดจ๊อบความจน เพื่อคนกรุงเทพฯ’ ด้วยนโยบายที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง เพื่อฟื้นลมหายใจของคนกรุงเทพฯ ให้ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ด้วย 3 เรื่องสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดขึ้น ทั้งเรื่องเทศกาลท่องเที่ยวระดับโลก พื้นที่ค้าขาย 100 ตลาดทั้ง 50 เขต และขยายอายุเกษียณการทำงาน