มาร์ก โมเบียส (Mark Mobius) มหาเศรษฐีนักลงทุน และผู้ก่อตั้ง Mobius Capital Partners บริษัทที่ปรึกษาการลงทุน แสดงความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของบรรดาตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย โดยยืนยันว่าเงินลงทุนทั้งหมดที่มีอยู่ในเวลานี้ล้วนกระจายไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ไม่มีการลงทุนใหม่ๆ ในสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแต่อย่างใด
โดยในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โมเบียสระบุว่า แนวทางการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาและนับต่อจากนี้ เจ้าตัวจะมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets) ในเอเชียเป็นหลัก
รายงานระบุว่า เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ โมเบียสระบุว่าตนเองกำลังมุ่งเน้นการลงทุนในไต้หวัน เกาหลีใต้ และอินเดีย และกำลังพิจารณาลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม โมเบียสเตือนให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุนกับชาติเศรษฐกิจใหม่ในเอเชีย เช่น จีน เนื่องจากเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกแห่งนี้ยังคงผ่าน ‘การปรับตัวครั้งใหญ่’ (Tremendous Adjustment) ซึ่งจะทำให้ ‘หลายบริษัทลำบากมาก’ พร้อมชี้ว่า ขณะนี้ หลายบริษัทในประเทศต่างๆ เช่น เกาหลีใต้ ต่างก็พยายามลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดจีน และกำลังมองหาวิธีกระจายความหลากหลาย
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โมเบียสกล่าวว่า ตนเองจึงกำลังมองหาบริษัทที่หาตลาดทางเลือกได้ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าบริษัทเกาหลีใต้และไต้หวันอาจจะมีปัญหาในการตัดขาดตลาดจีนอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ โมเบียสยังเผยเคล็ดลับการลงทุนในตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยแนะให้มองหาบริษัทที่มีความหลากหลายในระดับสากล หรือมีเทคโนโลยีที่น่าทึ่งที่ช่วยให้บริษัทสามารถกระจายฐานนักลงทุนได้
ก่อนหน้านี้ โมเบียสได้เตือนนักลงทุนเกี่ยวกับการลงทุนในจีน หลังจากที่เจ้าตัวไม่สามารถถอนเงินออกจากบัญชี Shanghai HSBC ของตนเองได้ เนื่องจากการควบคุมเงินทุนของรัฐบาลจีน กระนั้น ปัญหาเหล่านั้นก็ได้รับการแก้ไขแล้วในภายหลัง
ในส่วนของความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างจีนและไต้หวัน โมเบียสเชื่อว่าความตึงเครียดไม่น่าจะถึงจุดเดือดในเร็วๆ นี้ เนื่องจากการโจมตีใดๆ ที่กระทำต่อไต้หวันมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากสหรัฐฯ และเศรษฐกิจของจีนยังคงต้องพึ่งพาอาศัยตลาดสหรัฐฯ อยู่
นอกจากนี้ โมเบียสยังมีแนวโน้มที่ดีต่ออินเดีย เนื่องจากปัจจัยบวกต่อการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัทต่างๆ เช่น Apple กำลังเปลี่ยนไปใช้อินเดียเป็นฐานการผลิตเพื่อกระจายธุรกิจออกจากจีน รวมถึงการที่ประชากรของอินเดียแตะ 1.4 พันล้านคน ทำให้อินเดียมีประชากรจำนวนมากกว่าจีน และ GDP ของอินเดียก็เติบโตในอัตรา 7% ต่อปี ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้จึงสามารถช่วยให้ประเทศกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในอนาคต
ขณะที่ในเกาหลีใต้ โมเบียสมองเห็นการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่น่าประทับใจของบริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ส่วนหนึ่ง พร้อมยกตัวอย่างบริษัทเกาหลีใต้แห่งหนึ่งที่ตนเองเข้าไปลงทุนซึ่งกำลังพัฒนานวัตกรรมด้านผิวหนังที่ช่วยปกปิดริ้วรอย
ความเห็นของโมเบียสสอดคล้องกับคำวิจารณ์ของนักลงทุนวอลล์สตรีทรายอื่นๆ ที่ส่วนหนึ่งหันมามองหาโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากภาวะการเงินตึงตัวในสหรัฐฯ ขณะที่ Goldman Sachs ประเมินว่า ตลาดเกิดใหม่สามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ในตลาดหุ้นโลกได้ในปี 2030 ซึ่งมุมมองทางบวกส่งผลให้ กองทุน MSCI Emerging Markets ซึ่งมุ่งลงทุนในตลาดเกิดใหม่เติบโตขึ้น 10% แล้วในปีนี้
อ้างอิง: