‘ปราบผู้มีอิทธิพล’ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ทุกรัฐบาลตั้งแต่อดีตถึงจนปัจจุบันให้ความสำคัญ และมุ่งเน้นที่จะขจัดให้หมดไปในสังคมไทย แต่เหตุไฉนจึงยังไม่หมดไป มิหนำซ้ำยังสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน และยังต้องปราบปรามจนถึงทุกวันนี้
ก่อนหน้านี้รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศปราบปรามผู้มีอิทธิพล กวาดล้างปืนเถื่อนและอาวุธสงครามภายใน 6 เดือน แต่งตั้ง พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบ หรือย้อนไปนานกว่านั้น ในสมัยรัฐบาล คสช. ก็มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง (ขณะนั้น) เป็นหัวเรือใหญ่ในการปราบปราม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘คุมมาเฟีย เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ มหาดไทย ‘ยุคอนุทิน’
- ย้อนรอย ‘ปฏิบัติการฟ้าสางที่อุทัยฯ ยุทธการสะแกกรัง’ บ้านใหญ่อุทัยธานี
- “จับคนใกล้ชิดก็ว่า ไม่จับก็ด่า” ชาดาเปิดใจหลังลูกเขยถูกจับรับสินบน บอกในฐานะพ่อต้องโอบกอดลูกทุกคน ในฐานะ รมช.มหาดไทย ให้ออกจากตำแหน่งแล้ว
หรือย้อนนานไปกว่านั้นอีกในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็มีนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่พ่วงไปด้วยการประกาศทำสงครามยาเสพติดก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งยังสร้างความนิยมให้เขาอีกด้วย
จากซ้าย ดรีมทีมรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย
เกรียง กัลป์ตินันท์, ชาดา ไทยเศรษฐ์, อนุทิน ชาญวีรกูล และทรงศักดิ์ ทองศรี
ภายหลังสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสเข้าทำงานวันแรก
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต
กลับมาในยุคปัจจุบัน ปี 2566 เมื่อ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่เกิดเหตุอุกอาจ กรณีลูกน้องกำนันที่จังหวัดนครปฐมได้ก่อเหตุสังหาร ‘นายตำรวจน้ำดี’ จนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย
‘อนุทิน’ ในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ประกาศถอนรากถอนโคนปราบปรามเจ้าพ่อและมาเฟีย พร้อมกับสั่งการให้เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ได้โชว์ฝีมือและพิสูจน์ผลงาน
พร้อมทั้งได้ลงนามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 2739/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยมีตนเองในฐานะเจ้ากระทรวงเป็นประธาน มี ‘ชาดา’ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เป็นรองประธาน และมีข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการอีก รวมทั้งสิ้น 20 ตำแหน่ง
แน่นอนว่าคณะกรรมการชุดนี้ สปอตไลต์ส่องแสงไปอยู่ที่ ‘ชาดา’ ในตำแหน่งรองประธานฯ เนื่องจากเขาถูกขนานนามว่า เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง เป็นผู้มากบารมีในจังหวัดอุทัยธานี ถือเป็นคนที่ความรู้ ความสามารถ และเคยผ่านสมรภูมิเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับผู้มีอิทธิพลมาก่อน
ชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ที่มีฉากหลังเป็น ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ขณะกำลังสวมใส่รองเท้า ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต
คณะกรรมการทั้ง 20 ตำแหน่ง มีหน้าที่กำหนดนโยบาย แนวทาง และมาตรการในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล รวมถึงบูรณาการการปฏิบัติงานของส่วนราชการและองค์กรต่างๆ
ทั้งยังมีหน้าที่ตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลและการข่าวเกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัยที่มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล เร่งรัด กำกับดูแล ตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและองค์กรต่างๆ ในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล
กระทรวงมหาดไทยยังได้ระบุลักษณะ 16 พฤติการณ์ที่เข้าข่ายเป็น ‘ผู้มีอิทธิพล’ ที่รัฐบาลจะต้องเร่งปราบปรามให้หมด
- นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ
- ฮั้วประมูลงานราชการ
- หักหัวคิวรถรับจ้าง
- ขูดรีดผู้ประกอบการ
- ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี
- เปิดบ่อนการพนัน
- ลักลอบค้าประเวณี
- ลักลอบนำคนเข้า-ออกประเทศโดยผิดกฎหมาย
- ล่อลวงแรงงานไปยังต่างประเทศ
- แก๊งต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
- มือปืนรับจ้าง
- รับจ้างทวงหนี้ด้วยการข่มขู่ใช้กำลัง
- ลักลอบค้าอาวุธสงคราม/ปืนเถื่อน
- บุกรุกที่ดินสาธารณะ/ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
- เรียกรับผลประโยชน์บนเส้นทางหลวงสาธารณะ
- ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52
เปิดห้องทำงานภายในกระทรวงมหาดไทย
ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว THE STANDARD
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
‘อนุทิน’ ในฐานะเจ้ากระทรวงมหาดไทย บอกกับ THE STANDARD ว่า ได้สั่งการให้ ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ไปกำกับดูแลเป็นพิเศษแล้ว
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ดำเนินการไปหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องการขึ้นบัญชี รวมถึงการส่งสัญญาณไปยังเจ้าตัว (ผู้มีอิทธิพล) ว่าขอให้ยุติการกระทำในลักษณะที่ข่มเหงรังแกประชาชน
อนุทินได้นิยามคำว่า ‘ผู้มีอิทธิพล’ ว่าเป็นใช้อิทธิพลของตนเองไปข่มเหงรังแกผู้ที่ด้อยกว่า โดยเน้นทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
“หนีกันหัวซุกหัวซุน ไม่มีที่อยู่อย่างปกติได้อีกต่อไป ถูกจับดำเนินคดี ถ้าต่อสู้ตำรวจ บางคนก็ถูกยิงเสียชีวิต บางคนหนีหัวซุกหัวซุน อยู่เป็นหลักแหล่งไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เป็นผลพวงจากการดำเนินการปราบปราม เราไม่ได้ปล่อยให้ใครอยู่ได้อย่างเป็นปกติ แม้จะมีตำแหน่งแห่งหนทางราชการ ยิ่งทำก็ยิ่งโดน โดนดำเนินคดีเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นความชัดเจนที่เห็นและจับต้องได้ในงานของกระทรวงมหาดไทยในยุคนี้” เขากล่าว
สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า
ภาพ: พีรพัฒน์ วิมลรังครัตน์
8 เต็ม 10 คะแนน
สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ความคืบหน้านโยบายปราบผู้มีอิทธิพลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52 ‘อนุทิน’ จากพรรคภูมิใจไทย ว่า ‘ขึงขัง’ และ ‘แอ็กทีฟดี’
ขณะเดียวกัน กระทรวงมหาดไทยก็มี ‘ชาดา’ เป็นจุดขายในปราบปรามผู้มีอิทธิพลอีก และสไตล์การทำงานของพรรคภูมิใจไทยก็เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสไตล์บ้านใหญ่อยู่แล้วด้วย หากดูจากภาพลักษณ์แล้ว ‘ภูมิใจไทย’ คือพรรคการเมืองที่เข้าใจบทบาทของผู้มีอิทธิพลมากที่สุดแล้ว
สำหรับการประเมินการทำงานการปราบปรามผู้มีอิทธิพลตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ‘สติธร’ ให้คะแนน ‘8 เต็ม 10’ เขาบอกว่าไม่อยากให้น้อย และไม่อยากให้มาก
เพราะหากจะถามหาความเป็นรูปธรรมกับนโยบายดังกล่าวเร็วเกินไปที่จะให้คะแนนมาก ขณะเดียวกัน ณ ตอนนี้ยังไม่เห็นผลอะไร ณ วันนี้เห็นเพียงการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลเท่านั้น
แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยยุคนี้ ‘เอาจริงเอาจัง’ กับการปราบผู้มีอิทธิพล ส่วนผลงานที่เป็นรูปธรรมจะต้องมีการพิสูจน์ไปอีกสักระยะ พร้อมตั้งคำถามต่อว่า เมื่อกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลแล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
ดรีมทีมรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย
3 คนเดินเท้าจากวัดราชบพิธฯ ถึงถนนอัษฎางค์ ด้านหน้ากระทรวงมหาดไทย
เนื่องในโอกาสเข้าทำงานวันแรก
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต
ที่ผ่านมานโยบายการปราบผู้มีอิทธิพลถูกหลายคนมองว่าเป็นนโยบาย ‘ผักชีโรยหน้า’ เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นแต่ละครั้งก็เอาจริงเอาจังขึงขังกันไป แล้วเรื่องก็จะเงียบไป
สติธรบอกอีกว่า สิ่งที่สำคัญในการเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพลครั้งนี้ ‘อนุทิน’ และ ‘ชาดา’ จากพรรคภูมิใจไทย ต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าการปราบปรามผู้มีอิทธิพลหนนี้แตกต่างจากการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในอดีต
‘ผู้มีอิทธิพล’ เปรียบเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน เหรียญด้านแรก ผู้มีอิทธิพลก็ถูกมองว่าเป็นความสัมพันธ์ในสังคมไทยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่คนมีบารมี มีฐานะทางสังคม หรือมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าจะเข้าไปดูแลคนในพื้นที่ ซึ่งคนในพื้นที่ก็ยินดีที่จะอาศัยพึ่งพากันในลักษณะนี้
แต่อีกด้านที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับระบบใหญ่ เช่น ปัญหาวิ่งเต้นเส้นสาย โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม กอบโกยผลประโยชน์ ประมูลโครงการภาครัฐไว้กับตนเองจนนำไปสู่การทุจริต หรือทำบุคคลใดบุคคลหนึ่งให้ถึงแก่ความตาย โดยไม่ต้องรับโทษในกระบวนการทางกฎหมาย
สติธรจึงบอกว่า กระทรวงมหาดไทยต้องดำเนินการให้ผู้มีอิทธิพลด้านลบนี้เข้ามาอยู่ในระบบให้ได้ ตนเองจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำในระยะยาว และทำอย่างต่อเนื่อง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นผักชีโรยหน้า วันนี้ผมจึงตั้งคำถามว่า เมื่อกระทรวงมหาดไทยได้มีการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลแล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไร จะแค่ทำความเข้าใจใช่ไหม หรืออย่างไร เพราะเรายังไม่เห็นภาพที่กระทรวงมหาดไทยแอ็กชันเต็มที่ หรือ มท.1 ลงพื้นที่ไปดำเนินการกวาดล้างด้วยตนเองเลย” นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้ากล่าว
อย่างน้อยที่สุด กระทรวงมหาดไทยต้องให้ความรู้สึกว่า ผู้มีอิทธิพลสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการสร้างประโยชน์กับสังคม หรือมากกว่านั้น ต้องไม่สร้างอิทธิพลในเชิงลบที่ไม่เป็นธรรมกับผู้คน จนรู้สึกว่าผู้มีอิทธิพลนั้นยิ่งใหญ่และแตะต้องไม่ได้
ชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้สมัคร สส. อุทัยธานี (ขณะนั้น)
ในฐานะผู้รับผิดชอบการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคเหนือ โบกธงชัยพรรคภูมิใจไทย
เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
สติธรบอกกับ THE STANDARD อีกว่า ภาพลักษณ์ของภูมิใจไทยถือว่าเป็นอีกพรรคการเมืองที่มีบ้านใหญ่จำนวนมาก เช่น บ้านใหญ่ไทยเศรษฐ์ของชาดาในจังหวัดอุทัยธานี, ตระกูลช่างเหลาที่ขอนแก่น, บ้านใหญ่โพธิ์สุแห่งนครพนม, บ้านใหญ่ไตรสรณกุล-ตระกูลสรรณ์ไตรภพแห่งศรีสะเกษ, บ้านใหญ่รัชกิจประการแห่งแดนใต้, บ้านใหญ่ซารัมย์, บ้านใหญ่ทองศรี หรือแม้แต่ ‘บ้านใหญ่ชิดชอบ’ แห่งบุรีรัมย์ เมืองหลวงของพรรคภูมิใจไทย
สติธรจึงมองว่า ‘ภูมิใจไทย’ น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เข้าใจผู้มีอิทธิพล และเป็นโอกาสที่ดีในการปรับภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองที่มีบ้านใหญ่ให้ดีขึ้น เพราะภาพลักษณ์บ้านใหญ่และผู้มีอิทธิพลเป็นเรื่องอยู่คู่กันแล้ว
สังคมจึงมองไม่ออกว่า ‘ภูมิใจไทย’ จะดำเนินการจัดการบ้านตัวเองอย่างไร หรือจะดำเนินการจัดการพวกตัวเองด้วยหรือไม่ ดังนั้น หนทางเดียวของพรรคภูมิใจไทยในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เข้าข่ายคือ ‘ต้องไม่เลือกปฏิบัติ’ และ ‘มีมาตรฐานเดียวกัน’
‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ แถลงเปิดใจหลังลูกเขยถูกจับรับสินบน
หลังเข้าชี้แจงความคืบหน้าเกี่ยวกับการปราบปรามผู้มีอิทธิพลต่อคณะกรรมาธิการปกครอง รัฐสภา
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต
สติธรยังยกตัวอย่างกรณีการจับกุมตัว ‘วีระชาติ รัศมี’ นายกเทศมนตรีตำบลตลุกดู่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็น ‘ลูกเขย’ ของชาดา ที่ถูกจับดำเนินคดีข้อหารับสินบน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และการดำเนินการของชาดาที่ให้ลูกเขยของตนเองลาออกจากตำแหน่งภายในวันนั้น เรื่องนี้สำหรับตนเองมองว่าเป็นการกระทำเป็นที่ ‘โอเค’
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า แต่หลายฝ่ายไม่ทราบว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร อาจเป็นการไม่ถูกกันอยู่แล้วหรือไม่ หรือความเป็นจริงแล้ว ‘ชาดา’ ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นใคร ใช่คนในครอบครัวหรือตระกูลเดียวกับตนเองหรือไม่
หาก ‘ผิด’ ก็คือ ‘ผิด’ นั่นหมายความว่าพรรคภูมิใจไทยดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ ‘ยกน่ายกย่อง’
สติธรย้ำกับ THE STANDARD ว่า สำคัญที่สุดในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล คือ ‘มาตรฐาน’ ในการดำเนินการและเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลอย่าง ‘ไม่เลือกปฏิบัติ’ และ ‘ไม่เข้าข้างพวกตัวเอง’ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ต่อสังคมว่ากระทรวงมหาดไทยภายใต้การนำของ ‘อนุทิน’ และ ‘ชาดา’ จากพรรคภูมิใจไทยจะดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพล
รื้อกฎหมาย เคลียร์กลิ่นลูกปืนเถื่อน
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ในช่วงคาบเกี่ยวที่อนุทินเข้ามารับตำแหน่ง มท.1 คนที่ 52 เกิดกรณี ‘ปืนเถื่อน’ ออกมาก่อเหตุคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ โดยเฉพาะเหตุกราดยิงภายในศูนย์การค้าย่านใจกลางเมืองเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
กระทรวงมหาดไทยเตรียมรื้อกฎหมายควบคุมอาวุธปืน-สิ่งเทียมอาวุธปืน อนุทินได้ประกาศว่า จากนี้ต่อไปบุคคลที่จะสามารถถือครองอาวุธปืนได้อนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าพนักงานบุคคลที่เป็นคนของราชการที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น
‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 52
ภายหลังให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าว THE STANDARD
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ห้ามออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว (แบบ ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2566 – 19 ธันวาคม 2567
อนุทินได้กล่าวกับ THE STANDARD ว่า มหาดไทยยุคภายใต้การนำของเขาจะงดต่อใบอนุญาตการพกพาอาวุธปืน ใครที่ฝ่าฝืน ยังพกปืนโดยที่ไม่มีใบอนุญาต นั่นหมายความว่าตั้งใจทำผิดกฎหมายและมีเจตนาที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย ผิดนโยบาย ผิดทุกเรื่อง พร้อมทั้งเชื่อว่าการงดต่อใบอนุญาตฯ จะทำให้สังคมดีขึ้น
รวมถึงเตรียมที่จะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมอาวุธปืนและอาวุธปืนสิ่งเทียมต่อไปในรัฐสภา รัฐบาลมีเสียงถึง 314 เสียง หากแก้ไขแล้วเพียงพอก็แก้ไข ส่วนไหนที่แก้ไขแล้วไม่เพียงพอก็ต้องเสนอเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่
ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. อุทัยธานี ขณะกำลังสนทนากับ อนุทิน ชาญวีรกูล, ศักดิ์สยาม ชิดชอบ, ทรงศักดิ์ ทองศรี 3 สส. บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย
ในที่ประชุมร่วมของรัฐสภา เพื่อขอทบทวนมติเสนอชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต
แต่ ‘สติธร’ กลับมองปัญหาพกพาอาวุธปืนว่า ‘เป็นเรื่องใหญ่’ เกินกว่าแค่ ‘ควบคุมใบอนุญาต’ แล้วเรื่องจะจบ แต่กระทรวงมหาดไทยต้องกระทำการระบบจัดใบอนุญาตเสียใหม่
หาก ‘ปืนเถื่อน’ ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่การตั้งคำถามของสังคมได้ว่า การงดต่อใบอนุญาตการพกพาอาวุธปืนไม่ใช่การแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง
“หลายคนไม่รู้สึกว่าการงดต่อใบอนุญาตเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหลายฝ่ายหลายคนก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะครอบครองปืนอยู่แล้ว”
บรรยากาศภายหลังเยาวชนชายอายุ 14 ปี ก่อเหตุใช้ปืนยิงประชาชนในศูนย์การค้าสยามพารากอน
ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นนักท่องเที่ยวจีนและสาวชาวเมียนมา
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566
ภาพ: ฐานิส สุดโต
หากมองลึกลงไปในรายละเอียดจะเห็นว่าการก่อเหตุคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ในช่วงที่ผ่านมาล้วนเป็นการครอบครอง ‘ปืนเถื่อน’ ทั้งสิ้น เมื่อมีการงดต่อใบอนุญาตให้ถือครองปืนไปแล้ว หากหลังจากนี้ยังมีกรณีในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีก นั่นหมายความว่ามาตรการการงดต่อใบอนุญาตให้ถือครองปืนใช้ไม่ได้ผลใช่หรือไม่
ทั้งนโยบาย ‘คุมมาเฟีย’ และ ‘เคลียร์กลิ่นลูกปืน’ ของกระทรวงมหาดไทย จะสัมฤทธิผลประสบความสำเร็จ ‘เหมือน’ หรือ ‘ต่าง’ จากรัฐบาลในอดีต อนุทินในฐานะเจ้ากระทรวงต้องรีบใช้โอกาสตลอด 4 ปี โชว์ฝีมือและพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนที่เฝ้าติดตาม
หากประสบความสำเร็จก็ถือเป็นโอกาสทองของพรรคภูมิใจไทยที่จะกวาดคะแนนความนิยมจากประชาชนสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าในปี 2570
อย่าลืมว่าการเลือกตั้งเมื่อกลางปีผ่านมา แม้ภูมิใจไทยจะได้ สส. ถึง 71 ที่นั่ง ได้เป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล และเป็นพรรคอันดับ 2 ในรัฐบาล แต่หากมองลึกลงไปก็จะเห็นว่า คะแนนมหาชน (สส. แบบบัญชีรายชื่อ) มีเพียงล้านนิดๆ เท่านั้นเอง