ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพฤติกรรมการชำระเงินในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทยที่ก้าวขึ้นแท่นผู้นำด้านการใช้โมบายล์แบงกิ้งและบริการชำระเงินแบบเรียลไทม์สูงที่สุดในโลก สะท้อนจากตัวเลขการใช้เงินสดที่ลดลงเหลือเพียง 48% ของธุรกรรมทั้งหมด ต่างจากค่าเฉลี่ยของตลาดโลกที่ยังพึ่งพาเงินสดสูงถึง 80%
‘Beam’ สตาร์ทอัพฟินเทคสัญชาติไทย กำลังเขย่าวงการด้วยโซลูชันการชำระเงินที่ ‘ง่ายกว่า เร็วกว่า และครบวงจรกว่า’
การเติบโตของโซเชียลคอมเมิร์ซนับตั้งแต่ช่วงโควิดได้เปลี่ยนโฉมหน้าการค้าและการชำระเงินในไทยอย่างสิ้นเชิง โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram และ LINE กลายเป็นช่องทางหลักที่ครองสัดส่วนกว่า 50% ของธุรกรรมออนไลน์ทั้งหมด
สอดคล้องกับผลสำรวจของ Visa Consumer Payment Attitudes Study ที่พบว่าคนไทย 97% ใช้แอปธนาคารอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง หลายคนเริ่มไม่พกกระเป๋าสตางค์แบบเดิมอีกต่อไป
วิน วารีเกษม ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Beam เผยถึงที่มาของการพัฒนาโซลูชันว่า “แม้การชำระเงินออนไลน์จะดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงกลับมีข้อติดขัดมากมาย ร้านค้าต้องเสียเวลาตรวจสอบสลิป เจอปัญหาสลิปปลอม ขณะที่ลูกค้าต้องผ่านหลายขั้นตอนซ้ำซ้อน จนหลายครั้งนำไปสู่การยกเลิกการซื้อ”
ด้วยมุมมอง ‘The World’s Simplest Ways to Checkout’ ทาง Beam จึงพัฒนาระบบรับชำระเงินที่รองรับทุกช่องทาง ทั้งบัตรไทยและต่างประเทศ, การผ่อนชำระ, โมบายล์แบงกิ้ง, QR Code, PromptPay และ e-Wallet ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม พร้อมระบบจัดการหลังบ้าน Beam Lighthouse ที่ช่วยให้ร้านค้าบริหารธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยมาตรฐานความปลอดภัย PCI DSS
จุดเด่นของ Beam นอกจากจะรองรับช่องทางที่หลากหลายแล้ว ยังช่วยยกระดับประสบการณ์การชำระเงินผ่านฟีเจอร์ One-Click Checkout เพื่อช่วยให้ลูกค้าทำรายการได้ในคลิกเดียว สอดรับกับเทรนด์การชำระเงินใหม่ๆ ที่เข้ามาพร้อมกับแอปธนาคารและ e-Wallet ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา พร้อมค่าธรรมเนียมที่ธุรกิจเข้าถึงได้ โดยบัตรเครดิตเริ่มต้นเพียง 1.8% เท่านั้น
ความน่าสนใจอยู่ที่ไม่เพียงธุรกิจออนไลน์เท่านั้นที่หันมาใช้บริการ แต่ธุรกิจดั้งเดิมที่เคยใช้เงินสดมาเป็นเวลาหลายสิบปีก็เริ่มมองหาโซลูชันการชำระเงินที่มีค่าธรรมเนียมสมเหตุสมผล ปลอดภัย และสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ราบรื่น ไม่ซับซ้อน
ความสำเร็จของ Beam สะท้อนให้เห็นจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถสร้างรายได้จาก 0 สู่ 100 ล้านบาทต่อปีภายในเวลาเพียง 3 ปี ปัจจุบันมียอดรับชำระเงินกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี และได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 1,200 ราย จนได้รับการสนับสนุนจาก Sequoia Capital (Peak XV) หนึ่งในบริษัทการลงทุนชั้นนำของโลก ด้วยเม็ดเงินกว่า 150 ล้านบาท
ในฐานะสตาร์ทอัพ Beam มีความได้เปรียบด้านความคล่องตัว การปรับตัวให้เข้ากับความต้องการใหม่ๆ สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ รวมถึงขยายขนาดธุรกิจได้เร็วกว่าบริษัทใหญ่ เพราะไม่ถูกจำกัดด้วยนโยบายหรือระบบเทคโนโลยีเดิม
ด้วยความคล่องตัวนี้เองทำให้ Beam พัฒนาเทคโนโลยีที่ปฏิวัติการชำระเงินที่หน้าร้านได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถรับชำระเงินได้ทุกช่องทางผ่านอุปกรณ์ที่ร้านค้ามีเพียงเครื่องเดียว ด้วยฟีเจอร์ ‘One-Tap Payment แตะเพื่อจ่าย’ ที่ทำให้การชำระเงินง่ายเพียงแค่แตะ นวัตกรรมนี้ตอบรับกับการเติบโตของการชำระเงินออนไลน์ในไทยที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี และโอกาสในตลาดอาเซียนที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดไทยถึง 6 เท่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างระหว่างการเติบโตของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ที่น่าสนใจ โดยในปี 2566 การชำระเงินออนไลน์เติบโตถึง 21% ขณะที่ช่องทางออฟไลน์เติบโตเพียง 10% สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาระบบชำระเงินที่ไร้รอยต่อระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์
“ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ความสะดวกรวดเร็วคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความได้เปรียบ ธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ย่อมมีโอกาสปิดการขายได้มากกว่า” วินกล่าวทิ้งท้าย
