เกิดอะไรขึ้น:
ในปี 2567 บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักที่ 10-15% โดยได้รับการสนับสนุนจาก: บริการผู้ป่วยที่ชำระเงินเอง หรือ Self-Pay (68% ของรายได้) ที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากการขยายและปรับปรุงโรงพยาบาลเดิมที่ทยอยแล้วเสร็จในปี 2566-2568 ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ OPD และ IPD, บริการผู้ป่วยในระบบประกันสังคม (SC, 32% ของรายได้) ที่เติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจาก BCH ตั้งเป้าจำนวนผู้ประกันตนลงทะเบียนเพิ่มขึ้น ~40,000 คน (เพิ่มขึ้น 4%) หลังจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มโควตา SC และรายได้จากบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติ (17% ของรายได้) ที่เพิ่มขึ้น โดยเน้นไปที่ตลาด CLMV เป็นหลัก
BCH คาดว่า EBITDA Margin จะดีขึ้นในปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงพยาบาลใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ นอกจากนี้โรงพยาบาลหลังสุดจะได้รับผลกระทบจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนน้อยลงหลังจากชำระหนี้สกุลเงินบาทหมดในเดือนกันยายน 2566 (ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 193 ล้านบาทในปี 2565 และ 151 ล้านบาทในปี 2566)
ใน 3Q67 BCH วางแผนเปิดศูนย์มะเร็งรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี (BCH ถือหุ้น 51%) เพื่อให้บริการรักษาโรคมะเร็งด้วยรังสีรักษาแบบ OPD ศูนย์แห่งนี้จะให้บริการผู้ป่วย SC ที่ปัจจุบัน BCH ส่งต่อผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลอื่น ด้วยเหตุนี้ InnovestX Research จึงคาดการณ์ถึงการใช้ประโยชน์ค่อนข้างสูง และการเปิดศูนย์แห่งใหม่นี้ไม่น่าจะฉุดภาพรวมการดำเนินงานของ BCH
เมื่ออิงกับข้อมูลจาก BCH สำนักงานประกันสังคมได้ปรับลดการจ่ายค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ให้กับโรงพยาบาลเอกชนลงจาก 12,000 บาทต่อ RW (อัตราที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด) เหลือ 10,000 บาทต่อ RW สำหรับการให้บริการในเดือนธันวาคม 2565 เนื่องจากงบประมาณปี 2565 ไม่เพียงพอ ส่วนต่างระหว่างจำนวนเงินที่จ่ายจริงกับรายได้ที่บันทึกไว้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของ BCH ~10 ล้านบาทใน 4Q66 สำหรับการให้บริการในปี 2566 BCH ได้รับเงินตามจริงที่ 12,000 บาทต่อ RW จนถึงเดือนตุลาคม 2566 แล้ว
ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะมีการปรับลดอัตราการเบิกจ่ายสำหรับการให้บริการในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 (กำลังอยู่ในระหว่างพิจารณา) และยังกังวลด้วยว่าจำนวนเงินที่จะจ่ายจริงสำหรับปี 2567 จะได้รับผลกระทบ ในขณะที่ InnovestX Research มองว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเป็นความเสี่ยง แต่จากการประเมินบ่งชี้ว่าผลกระทบมีจำกัด เมื่อใช้สมมติฐานว่ามีการปรับลดอัตราการเบิกจ่ายจริงสำหรับค่ารักษาพยาบาลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ลงจาก 12,000 บาทต่อ RW เหลือ 10,000 บาทต่อ RW สำหรับการให้บริการ 1 เดือน จะส่งผลกระทบต่อกำไรปี 2567 ของ BCH ราว 0.4%
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCH ปรับลง 0.46% สู่ระดับ 21.80 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.09% สู่ระดับ 1,386.04 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 และปี 2568 ของ BCH เพิ่มขึ้นปีละ 2% หลังจากปรับประมาณการทางการเงิน โดยในปี 2567 คาดว่า BCH จะรายงานกำไรปกติเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 20% (สูงกว่าการเติบโตโดยเฉลี่ยของกลุ่มที่ 12%) สู่ 1.8 พันล้านบาท โดยอิงกับการเติบโตของรายได้ที่ 9% และ EBITDA Margin ที่ 26.7% (เพิ่มขึ้นจาก 24.9% ในปี 2566)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มการแพทย์ในฐานะ Earnings Play เนื่องจากกำไรปกติจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ในปี 2567 ขณะที่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น BCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% เทียบกับ SET ที่ลดลง 0.4% และมองว่า Valuation ไม่แพงที่ P/E ปี 2567 ระดับ 30 เท่า หรือ -1SD ของ P/E เฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้ ให้คำแนะนำ Outperform สำหรับ BCH โดยปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ใหม่เป็น 25 บาทต่อหุ้น (เพิ่มจาก 24 บาทต่อหุ้น)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การปรับอัตราการเบิกจ่ายสำหรับโครงการประกันสังคม จำนวนผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการชะลอตัวลง และภาระต้นทุนที่โรงพยาบาลใหม่ ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือ ความปลอดภัยของผู้ป่วย (S) ซึ่ง BCH ได้นำเอาระบบบริหารคุณภาพต่างๆ มาใช้สำหรับกระบวนการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง