หลังผลการดำเนินงาน บ้านปู เพาเวอร์ มีรายได้รวม 30,443 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 12,262 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา
ก่อนที่การดำเนินงานของบ้านปู เพาเวอร์ หลังจากนี้ ซีอีโอ ‘กิรณ ลิมปพยอม’ จะส่งไม้ต่อให้ อิศรา นิโรภาส ผู้อำนวยการสายอาวุโส-สายงานปฏิบัติการธุรกิจไฟฟ้า บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมีผลเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 นั้น
กิรณระบุแผนการดำเนินธุรกิจปีนี้ว่า บริษัทคาดการณ์รายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่าปีก่อน หรือราว 20% และวางงบสำหรับ 1-2 ปีนี้อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อการลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าใหม่เข้าพอร์ต ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโรงไฟฟ้าและพลังงานสะอาด โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตอีกประมาณ 1,000 กว่าเมกะวัตต์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เจาะลงทุน 4 ประเทศ
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนรวม 225 เมกะวัตต์ โดยภายในปี 2568 วางเป้าว่าจะเพิ่มอีก 500 เมกะวัตต์ เข้าไปในพอร์ตพลังงานสะอาด ทั้งจากโซลาร์รูฟท็อปและโซลาร์ลอยน้ำที่มีกำลังผลิตรวม 335 เมกะวัตต์ โดยแบ่งการลงทุนไปที่ 4 ประเทศ ดังนี้
- ไทย ล่าสุดได้ลงนามลงทุนเพิ่มการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปอีก 2 เมกะวัตต์ ทำให้ปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 98 เมกะวัตต์
- จีน ลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าบนหลังคา Zhengding CHP มีกำลังผลิตรวม 66 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 12.9 เมกะวัตต์
- เวียดนาม บริษัท Solar ESCO ที่มีกำลังผลิตรวมที่ตกลงไว้แล้ว 40 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังผลิตที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว 13.3 เมกะวัตต์
- อินโดนีเซีย โดยบริษัท IBP ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์บนหลังคาแบบ PPA (Power Purchase Agreement) 9 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง ปัจจุบันมีกำลังผลิตที่ติดตั้งไปแล้ว 7 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง ส่งผลให้บ้านปู พาวเวอร์ มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมในอินโดนีเซียจำนวน 25 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้ลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโซลาร์รูฟท็อปไปแล้ว 3 เมกะวัตต์ รวมถึงมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ PPA อีก 9 เมกะวัตต์ ที่สำคัญ อินโดนีเซียถือว่าเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าสีเขียวเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนแผนนอกเหนือจากนี้ยังมีโครงการศึกษาใช้แอมโมเนีย Co-firing ในโรงไฟฟ้า BLCP ที่ได้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น
เล็งดีลซื้อโรงไฟฟ้าเพิ่มที่สหรัฐฯ จับตาอินโดนีเซียประเทศม้ามืด
ขณะนี้มีหลายโครงการจากหลายประเทศที่น่าสนใจ อย่างสหรัฐฯ ที่มีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ยังจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานตามเทรนด์พลังงานใหม่ 3Ds รวมถึงการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในรัฐเท็กซัสที่ยังมีโอกาสอีกมาก
อีกทั้งบริษัทมีโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Sequestration: CCS) ซึ่งลงทุนไปแล้ว 1 โครงการ นั่นคือ Barnett Zero กับบริษัทในเครือบ้านปู
ยังมีอีกประเทศที่น่าจับตามองคือ จีน เพราะถือว่าเป็นประเทศที่มีนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนที่น่าสนใจ รวมถึงไทยเองก็ยังเป็นอีกตลาดที่น่าลงทุน และด้วยนโยบายแผน PDP ก็สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และไทยถือว่าติด Top 10 ของประเทศที่มีอัตราการใช้รถ EV สูงสุด
โดยบริษัทจะสร้างโอกาสเข้าลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนและธุรกิจเกี่ยวเนื่องจากพอร์ตบ้านปู เน็กซ์ ไม่ว่าจะเป็น BESS และ e-Mobility
“ผมมองว่าจากนี้ประเทศที่เป็นม้ามืดคือ อินโดนีเซีย ซึ่งตอนนี้ทราบว่ารัฐบาลกำลังผลักดันและอยู่ระหว่างการสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ประกอบกับบ้านปูถือว่ามีรากฐานที่แข็งแกร่งในอินโดนีเซียมามากกว่า 30 ปี วันนี้จึงเป็นจังหวะและโอกาสที่น่าจับตา” รายงานข่าวระบุ
ความสำคัญของ OECD คือ การกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าโลก และเป็นเวทีในการเปรียบเทียบนโยบาย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และประสานงานนโยบายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งรวมถึงการปราบปรามการค้าผิดกฎหมายด้วย ปัจจุบันประเทศสมาชิกของ OECD มีทั้งหมด 38 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว