หากเอ่ยถึงงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่เป็น หมุดหมาย ของนักวิ่งชาวไทยและต่างชาติ หลายคน ชื่อของ บางแสน 21 (Bangsaen21) คงเป็นชื่อแรกที่หลายคนนึกถึง จากการที่เป็นรายการฮาล์ฟมาราธอนรายแรกของโลกที่ได้รับการรับรองให้เป็นงานวิ่งระดับ World Athletics Platinum Label เมื่อปี 2023
เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปีของการแข่งขัน เราได้เดินทางไปยังบางแสน และ มีโอกาสพูดคุยกับ รัฐ จิโรจน์วณิชชากร ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ถึงเบื้องหลังการเติบโต การก้าวขึ้นเป็น Platinum Lable ในระยะฮาล์ฟมาราธอน และทิศทางในอนาคต
จาก “เครื่องหมายคำถาม” สู่ “Platinum Label” แห่งแรกของโลก
ก้าวสำคัญที่สุดของบางแสน 21 คือการได้รับการรับรองมาตรฐาน Platinum Label จากสหพันธ์กรีฑาโลก (World Athletics) ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุด
รัฐเล่าด้วยความภูมิใจว่า ในปี 2023 บางแสน 21 คือ “ที่แรกและที่เดียวในโลก” ที่ได้ Platinum Label ในระยะฮาล์ฟมาราธอน จากงานวิ่งระดับ Platinum ทั้งหมด 15 งานทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเมเจอร์ในเมืองใหญ่ๆ อย่างบอสตัน โตเกียว หรือเบอร์ลิน
“งานที่ 15 บางแสน คนก็จะแบบมันอยู่ที่ไหนนะ… คนรู้จักกรุงเทพฯ รู้จักพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ แต่เขาบอกบางแสนอยู่ไหน ไม่รู้ ฉะนั้น Question mark อันใหญ่เกิดขึ้น”
รัฐกล่าวถึงปฏิกิริยาของวงการวิ่งโลกในช่วงแรก แต่ความสงสัยนั้นกลายเป็นความท้าทายที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ไทยจะไม่ได้เป็นเสือเศรษฐกิจใหญ่โตเหมือนจีนหรือเกาหลี แต่เราสามารถสร้างมาตรฐานระดับโลกได้ เปรียบเสมือนการได้รับ “มิชลิน 3 ดาว” ในวงการวิ่ง
ผลจากการเป็น Platinum ทำให้บางแสนกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักวิ่ง Elite ระดับโลก เพราะการมาที่นี่ให้คะแนนสะสมสูงกว่างานระดับ Gold ถึง 3 เท่า และสูงกว่าระดับ Elite ถึง 16 เท่า
เทคโนโลยี: กุญแจสำคัญที่สร้างความแตกต่าง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้บางแสน 21 โดดเด่นกว่างานอื่นทั่วโลกคือ “เทคโนโลยี” รัฐ ซึ่งมีพื้นฐานความชอบด้านนี้ ได้นำเทคโนโลยีมาแก้ Pain Points เดิมๆ ของงานวิ่งไทยเมื่อ 10 ปีก่อน จนปัจจุบันเทคโนโลยีของงานล้ำหน้าไปไกลกว่างานใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นเสียอีก
“ปีเนี้ยผมไปวิ่งที่ญี่ปุ่นนะฮะ วิ่งวันอาทิตย์ได้รูปวันศุกร์ รอ 5 วัน… ของเราเนี่ยวันนี้เราวิ่งเสร็จ 8:00 น. เที่ยงคุณค้นรูปได้ละ” รัฐได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
นอกจากนี้ ยังมีระบบติดตามนักวิ่ง (Tracking) ที่แจ้งเตือนผ่าน Line ทุกๆ 5 กิโลเมตร พร้อมคำนวณเวลาเข้าเส้นชัยที่คาดการณ์ได้ (Expected time) ช่วยให้กองเชียร์หรือครอบครัววางแผนการรอรับได้แม่นยำ และกลายเป็น “ของที่ระลึกทางดิจิทัล” ที่นักวิ่งนำไปแชร์ต่อบนโซเชียลมีเดียได้อย่างสนุกสนาน
มากกว่างานวิ่ง คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
รัฐมองว่ากลุ่มนักวิ่งที่มาบางแสนคือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มองการวิ่งเป็น Entertainment และ Experience เมื่อพวกเขายอมจ่ายเพื่อเดินทางมาวิ่ง พวกเขาก็พร้อมจ่ายค่าที่พักและอาหารอย่างเต็มที่
“สมมติโรงแรมคืนนึง 6,000 จ่ายได้สบาย… แต่ถ้าจ่ายมาเที่ยวบางแสน รู้สึกว่าแพงจัง แต่พอมาบวกกับงานวิ่งปุ๊บมันรู้สึกไม่แพง”
นอกจากนี้ ผู้จัดการแข่งขันได้เปิดเผยว่า การจัดงานแต่ละครั้งสร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 500 ล้านบาท กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง เพราะนักวิ่งนับหมื่นคนไม่สามารถพักหรือกินที่เดียวกันได้หมด แม้หลังโควิดตลาดงานวิ่งโดยรวมจะตกลง แต่บางแสน 21 กลับมียอดผู้สมัครสูงถึง 50,000 ใบ เพื่อชิงตั๋ว 12,000-13,000 ใบ สะท้อนให้เห็นว่านักวิ่งยังโหยหางานที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
โมเดลความสำเร็จ: รัฐหนุน เอกชนนำ
เบื้องหลังความสำเร็จในการปิดถนนและจัดการเมืองคือความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาคเอกชนและท้องถิ่น โดยเฉพาะบทบาทของ ณรงค์ชัย คุณปลื้ม (นายกเทศมนตรีเมืองแสนสุข)
รัฐอธิบายว่า การจัดงานระดับโลกต้องอาศัยอำนาจรัฐในการจัดการพื้นที่ แต่เอกชนมีความคล่องตัวและความคิดสร้างสรรค์ โมเดลที่บางแสนใช้คือการเป็น “เจ้าภาพร่วม” โดยแบ่งงานตามความถนัด ภาครัฐดูแลเรื่องชุมชนและการประสานงาน ส่วนเอกชนดูแลเรื่องมาตรฐานงานและการตลาด
“จังหวัดไหนอยากทำงานแบบบางแสน… คุณต้องมีผู้นำท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง… และคุณต้องคุยกับผู้คนในพื้นที่ว่า เราจะมาปิดถนนร่วมกันนะ ยิ่งคนไทยเราเนี่ยถ้าเข้าใจ… น้ำเสียงการต้อนรับมันจะอีกแบบหนึ่ง”
ก้าวต่อไป: 10 ปีข้างหน้าและการเชื่อมต่อโลก
หลังจากผ่านทศวรรษแรกแห่งการก่อร่างสร้างตัว ทศวรรษที่ 2 ของบางแสน 21 คือการพาประเทศไทยเข้าไปอยู่ใน Ecosystem ของมาราธอนโลก
รัฐตั้งเป้าว่า แม้ไทยอาจไม่ใช่ Destination หลัก แต่ขอให้นักวิ่งทั่วโลกคิดว่า
“ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาวิ่งในประเทศไทยสัก 1 งาน”
ซึ่งจะกลายเป็นการส่งออก Soft Power ของไทยผ่านอาหาร การบริการ และรอยยิ้มที่อยู่ในงานวิ่งโดยไม่ต้องโฆษณา
นอกจากนี้ ยังมีการขยายโมเดลความสำเร็จไปยังพื้นที่อื่น เช่น “หาดใหญ่ 21” เพื่อรองรับนักวิ่งจากมาเลเซียและภาคใต้ โดยใช้มาตรฐานเดียวกับบางแสน
Growth of Performance: ยุคที่นักวิ่งจริงจังและเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ภาพรวมของนักวิ่งไทยในปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน โดยงานบางแสน 21 กลายเป็นสนามที่นักวิ่งมาด้วยความ “จริงจัง” และมีการ “ซ้อมมาอย่างดี” เพื่อเป้าหมายในการทำลายสถิติเดิม (New PB)
รัฐ มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถิติเวลาเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ การที่คนทั่วไปเริ่มมี “โค้ช” ส่วนตัวเพื่อให้ซ้อมถูกวิธี เปรียบเสมือนการเรียนที่มีครูสอน รวมถึงวิวัฒนาการของอุปกรณ์อย่าง “รองเท้าคาร์บอน” ที่ช่วยส่งเสริมสมรรถภาพ นอกจากนี้ ศัพท์เทคนิคทางวิทยาศาสตร์การกีฬายังกลายเป็นเรื่องปกติที่นักวิ่งทั่วไปพูดคุยกัน
“ปีนี้ตัวเลขน่าตกใจมาก คือวิ่งเร็วขึ้นแบบหลายสิบเปอร์เซ็นต์… เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้วเนี่ย ผมเชื่อว่าเราแทบไม่มีใครพูดคำว่า ‘โค้ชวิ่ง’ เลย โค้ชวิ่งคือสำหรับพวกทีมชาติ… แต่วันนี้เนี่ยกลุ่มใหญ่มีโค้ช”
“10 ปีที่แล้วกับวันนี้เนี่ย เดี๋ยววันนี้มันมีรองเท้าคาร์บอน มีรองเท้าที่เบาหวิวเด้งนุ่มมาก แน่นอนเอาคนเดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นั่งไทม์แมชชีนมาใส่ไอ้รองเท้านี้ก็เร็วขึ้นละ”
“แล้วก็บรรยากาศในการจัดการแข่งขันงานอะไรมันมีมาตรฐานขึ้น ก็เอื้อให้คนมี Performance ที่ดีขึ้น เพราะว่าเวลาเรามี Performance ที่ดีขึ้นเวลาไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย มีทุกคนมากดไลก์ กดแชร์ยินดีมันเป็นมันเป็นเรื่องที่จะ gifting กันแล้วทำให้คนก็รู้สึกสนุกว่า ฉันซ้อมเหนื่อยนะมีเพื่อนที่ไม่เคยคุยกันอยู่ๆมันก็มาอ่ามายินดีกับเรานะที่เราจบอ่าได้ New PB เราวิ่งเร็วขึ้นอย่างนี้ครับ”
บทสรุป: ชัยชนะที่มากกว่าเหรียญรางวัล
ท้ายที่สุด รัฐ ฝากข้อคิดถึงนักวิ่งว่า การวิ่งไม่ได้ให้แค่สุขภาพกาย แต่ยังขัดเกลาจิตใจให้แข็งแกร่งขึ้น
“ทุกครั้งที่คุณเข้าเส้นชัย คุณได้เวอร์ชั่นที่ดีขึ้นของตัวเองเสมอ… มันดีขึ้นเรื่อยๆ วันละนิด ปีละนิด”
งานบางแสน21 ปีนี้ยังมีนักวิ่งอายุเกิน 60 ปี มาร่วมวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอนถึง 700 คน แสดงให้เห็นว่าการวิ่งกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของสังคมผู้สูงวัย ให้กลายเป็นสังคมที่เปี่ยมด้วยพลังและสุขภาพที่ดี ซึ่งผู้จัดบางแสน มองว่านี่คือมรดกที่แท้จริงที่บางแสน 21 มอบให้กับสังคมไทย


