วานนี้ (1 สิงหาคม) ที่อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ร่วมประชุมกับคณะผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นำโดย พล.ต.ท. สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) โดยมี พล.ต.อ. อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กทม. เข้าร่วม
ชัชชาติกล่าวภายหลังการหารือว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มีโอกาสต้อนรับและหารือความร่วมมือระหว่าง กทม. และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งในการให้บริการประชาชน เพราะฉะนั้นการทำงานแบบไร้รอยต่อคือหัวใจที่ทำให้สามารถดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยที่ประชุมได้หารือใน 8 เรื่อง ได้แก่
- ด้านการจราจร เรื่องการลดอุบัติเหตุ การเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง, การบรรเทาปัญหาต่างๆ ให้แก่ประชาชน ซึ่งการทำงานของ กทม. จะดูแลพื้นที่บนทางเท้าและกล้อง CCTV ส่วนการทำงานของตำรวจจะดูแลพื้นที่บนถนนและการควบคุมสัญญาณไฟ
โดยจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ทั้งนี้ ทางตำรวจได้มีการรวบรวมจุดเสี่ยงต่างๆ เช่น จุดที่มีรถติดขัด จุดที่มีน้ำท่วมขัง จุดที่มีความเสี่ยงอันตราย ซึ่งต่อไป กทม. จะนำมาซ้อนกับแผนที่จุดเสี่ยงเพื่อดำเนินการแก้ไข ที่ประชุมได้เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะทำงานย่อยร่วมกันระหว่าง กทม. และตำรวจ เพื่อดูแลเรื่องการจราจรโดยตรง
- ด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และร่างกายของประชาชน เรื่องการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนให้ดีขึ้น โดยได้มีการพูดถึงการสำรวจปัญหาในพื้นที่ กทม. ที่พบปัญหาเรื่องแสงสว่าง 172 จุด ไม่มีกล้อง CCTV 129 จุด ปัญหาจุดอับ/จุดอันตรายตามตรอก ซอก ซอย 18 จุด และมีการพูดถึงโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ซึ่งเป็นโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีการผสมผสานแนวคิดเรื่องเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City เข้ากับแนวคิดที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้เกิดขึ้น
โดยอาศัยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกคน ประกอบด้วย ตำรวจ ภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานไม่หวังผลกำไรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาภายในชุมชน ในการวิเคราะห์สภาพพื้นที่และคัดเลือกพื้นที่ร่วมโครงการ และนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมต่างๆ ที่ทันสมัยมาใช้
ที่ผ่านมาได้ดำเนินการโครงการนำร่องในระยะแรกกับสถานีตำรวจในพื้นที่ กทม. 3 แห่ง ได้แก่ สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง, ลุมพินี, ภาษีเจริญ และในอนาคตจะเพิ่มอีก 9 แห่ง เช่น สน.มักกะสัน, สายไหม, มีนบุรี, โชคชัย และทองหล่อ ฯลฯ
- ด้านยาเสพติด เรื่องการลดการแพร่กระจายของยาเสพติดอื่นๆ ในพื้นที่ การป้องกันปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการยกเว้นให้กัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษ ทั้งนี้ กทม. มีศูนย์คัดกรอง 20 แห่ง ซึ่งเปิดให้บริการเพื่อรองรับการนำส่งผู้ต้องสงสัยว่าเสพยาเสพติดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยศูนย์คัดกรองจะดำเนินการคัดกรองและประเมินความรุนแรงของการติดยาเสพติด ภาวะความเสี่ยงทางสุขภาพกายหรือสุขภาพจิต ตรวจหาสารเสพติดในร่างกายเพื่อประกอบการประเมินความรุนแรงของการติดยาเสพติด พิจารณาส่งต่อเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูไปยังสถานพยาบาลยาเสพติดหรือสถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แต่ปัญหาที่พบคือ ศูนย์ส่วนใหญ่เปิดทำการเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ มีเพียง 8 แห่งที่เปิดในวันเสาร์-อาทิตย์
ประเด็นนี้ชัชชาติกล่าวว่า อาจมีการหาแนวทางในการขยายเวลาให้เหมาะสม และนำเครือข่ายของชุมชนมาเป็นตัวร่วมในการต่อต้านยาเสพติด
- ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์การใช้ Ai เพื่อให้การใช้กล้อง CCTV มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการประสานงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูล Big Data ระหว่างหน่วยงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับผู้กระทำการผิดกฎหมายผู้ก่ออาชญากรรมต่างๆ รวมถึงการนำกล้องของเอกชนมาเป็นแนวร่วมด้วย
นอกจากนี้ได้มีการรายงานผลสำรวจจำนวนกล้อง CCTV และเสนอติดตั้งเพิ่มเติมตามจุดต่างๆ ได้แก่ ตามแผนการรับเสด็จ, เขตพระราชฐาน, โรงพยาบาล, สถานศึกษา, สถานที่ราชการ, พื้นที่ชุมชน, สถานีขนส่ง, จุดเสี่ยงอาชญากรรม และเส้นทางจราจร เป็นต้น
- ด้านการชุมนุมเรียกร้องและความมั่นคง เรื่องการจัดสถานที่ชุมนุมให้มีความเหมาะสม และการควบคุมการชุมนุมให้สามารถแสดงออกตามสิทธิและเสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมายกำหนด โดยการชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ส่วนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 47) ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป ยังคงมีการห้ามการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่อาจเกิดความเสี่ยงในการติดต่อสัมผัสและสามารถแพร่โรค เว้นแต่การจัดกิจกรรมนั้นได้รับการอนุญาตจากผู้ว่าฯ กทม.
ทั้งนี้ ชัชชาติกล่าวว่า การจัดพื้นที่ชุมนุมสาธารณะที่ผ่านมาช่วยลดความวุ่นวายลงได้ทั้งการจราจรและทางกฎหมาย ในส่วนของความมั่นคง ที่ประชุมเห็นควรให้มีการประชุม กอร.มน.กทม. เพื่อประสานความร่วมมือกันต่อไป
- ด้านเศรษฐกิจ เรื่องการอำนวยความสะดวกสถานบริการ ธุรกิจบันเทิงต่างๆ ตลอดจนเรื่องพื้นที่โซนนิ่งในเขต กทม. โดยไม่สร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือมีผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งสถานบริการตามพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดเขตพื้นที่ แบ่งออกเป็น 3 โซนนิ่ง ได้แก่ ย่านพัฒน์พงษ์ รัชดาภิเษก และเพชรบุรีตัดใหม่
ตำรวจรายงานว่า ภาพรวมผู้ขอต่อใบอนุญาตมีจำนวนลดลง เพราะผู้อยู่นอกโซนนิ่งจะไม่ได้รับอนุญาต ที่ประชุมจึงเห็นควรให้มีการพิจารณากำหนดโซนนิ่งและขยายระยะเวลา เพื่อให้สถานบริการสามารถขออนุญาตได้ และกลับเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น เจ้าหน้าที่จะสามารถเข้าควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย
- ด้านการประชุม APEC ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565 กทม. เป็นเจ้าภาพร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน ทั้งนี้ จากการข่าวที่คาดว่าน่าจะมีความไม่สงบเรียบร้อย ทางตำรวจจึงมีการเตรียมความพร้อมและเสนอแนะให้มีการตั้งอาสาสมัครพิทักษ์เมือง โดยจัดอบรมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น พนักงานรักษาความสะอาด วินมอเตอร์ไซค์ หรือ รปภ. เพื่อช่วยเป็นหูเป็นตา
ชัชชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ทางตำรวจขอมาเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะ กทม. มีพนักงานรักษาความสะอาดเป็นหมื่นคนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นหูเป็นตาที่ดีมากในการช่วยเหลือด้านความปลอดภัย โดยทางตำรวจได้กรุณาอบรมพนักงานกลุ่มนี้ให้ทราบว่าควรสังเกตอะไร ระวังอะไร สิ่งน่าสงสัยมีอะไรบ้าง และการแจ้งเหตุต้องทำอย่างไร เพื่อช่วยดูแลอาคันตุกะผู้มาเยือนจากทั้ง 21 ประเทศ (เขตเศรษฐกิจ)
ขณะที่ พล.ต.ท. สำราญ กล่าวเสริมว่า หลังจากการอบรมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกว่า 20,000 คนให้แจ้งข่าว APEC จะสานต่อให้เป็นการแจ้งข่าวอาชญากรรมให้กับพี่น้องประชาชนด้วย และทุกเรื่องจะมีการตั้งคณะกรรมการคณะทำงานย่อย และจะมีการติดตามความคืบหน้ากันเป็นระยะต่อไป
- ด้านการใช้ Traffy Fondue สำหรับแจ้งเหตุต่างๆ ทางตำรวจจะเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้การแก้ปัญหาต่างๆ ไร้รอยต่อ ซึ่งใน กทม. มี สน. จำนวน 88 แห่ง
ชัชชาติกล่าวปิดท้ายการหารือว่า ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ต้องขอขอบคุณทางตำรวจที่มาหารือกันและเอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง สิ่งที่ทำไม่ได้ใช้งบประมาณเพิ่มเติม เพราะเป็นเรื่องที่ทำอยู่แล้ว แต่การร่วมมือกันจะทำให้การไหลของข้อมูลสะดวกขึ้น กทม. จะสนับสนุนในส่วนที่สามารถทำได้ และขยายผลให้ครอบคลุมทั้ง กทม.