×

เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือน หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด และชะลอตัวลงต่อเนื่อง

11.05.2023
  • LOADING...
เงินบาทแข็งค่า

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (11 พฤษภาคม) ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ ทำสถิติแข็งค่าสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด และชะลอตัวลงต่อเนื่อง 

 

พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด ประกอบกับโฟลวขายทำกำไรทองคำช่วยหนุนให้เงินบาทในวันนี้ปรับแข็งค่าขึ้น จนทดสอบแนวรับในกรอบสัปดาห์แถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ที่ธนาคารประเมินไว้ก่อนหน้า ก่อนที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงเล็กน้อย ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการย่อตัวลงของราคาทองคำ อย่างไรก็ดี โมเมนตัมฝั่งแข็งค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ และอาจช่วยหนุนให้เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นได้บ้างในวันนี้

 

อย่างไรก็ดี ประเมินว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจเผชิญแนวรับสำคัญแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ และอาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุต่ำกว่าระดับได้ง่ายนัก จนกว่าจะได้ปัจจัยหนุนจากฟันด์โฟลวนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติต่างรอผลการเลือกตั้ง โดยการกลับมาขายสุทธิหุ้นไทยสองวันที่ผ่านมาได้สะท้อนมุมมองดังกล่าว และยังสอดคล้องกับผลการศึกษาฟันด์โฟลวในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 5 ครั้งล่าสุด ที่พบว่านักลงทุนต่างชาติจะระมัดระวังตัวมากขึ้น และอาจปรับลดความเสี่ยงพอร์ตลงบ้าง ก่อนจะรับรู้ผลการเลือกตั้ง

 

นอกจากนี้ ยังคงเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้นำเข้าในช่วงโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทอาจทรงตัวเหนือโซนแนวรับดังกล่าวได้บ้าง อีกทั้งแรงขายทำกำไรสถานะ Long THB ของผู้เล่นในตลาด และโฟลวธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ อนึ่ง ปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทอาจมาจากความกังวลปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ ซึ่งมักจะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้ประเมินว่าแนวต้านสำคัญของเงินบาทในระยะสั้นจะอยู่ในช่วง 34.00 บาทต่อดอลลาร์  

 

ขณะที่กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.70 บาทต่อดอลลาร์

 

ด้านความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่ามีความผันผวน โดยปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นความกังวลการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ (US Debt Ceiling) ที่ยังไม่มีความชัดเจน และยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะหาทางออกร่วมกับสภาคองเกรสได้ อย่างไรก็ดี รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อยและเป็นการชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed มากขึ้น โดยมุมมองดังกล่าวหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่ระดับ 3.44% ซึ่งยังส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคและหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทค Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.04% ส่วนดัชนี S&P 500 ปิดตลาด +0.45%

 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.38% กดดันโดยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ Unilever -1.7%, Nestle -1.6% ท่ามกลางความกังวลว่า หาก ECB และ BOE เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องก็อาจส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอมากขึ้นได้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Hermes -1.4%, LVMH -0.9%) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจในระยะนี้ต่างออกมาแย่กว่าคาด

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนหนัก โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเร็วและแรง (ดัชนี DXY ลดลงใกล้ระดับ 101.2 จุด) จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดและเป็นการชะลอตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็สามารถรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ แม้จะชะลอลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ Fed อาจต้องคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาดได้ 

 

ทั้งนี้ โดยรวมเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 101.4 จุด (ระดับก่อนรับรู้อัตราเงินเฟ้อ CPI จะอยู่ที่ 101.8 จุด) 

 

ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิถุนายน) จะพุ่งขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ แต่ทว่าราคาทองคำก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ และเผชิญแรงขายทำกำไร กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงกลับมาสู่ระดับในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI แถว 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง

 

สำหรับวันนี้ ในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและไม่มีสัญญาณชะลอลงชัดเจน (อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน อาจอยู่ที่ระดับ 10% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะอยู่ที่ระดับ 6%) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 4.50% นอกจากนี้ เรามองว่า BOE อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อจนกว่าจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ ซึ่ง BOE จะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด (Data Dependent)

 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ แม้ว่ารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนก่อนหน้าจะสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ ทว่าผู้เล่นในตลาดก็จะรอประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อผ่านรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index หรือ PPI) ซึ่งหาก PPI ชะลอตัวลงต่อเนื่องในเดือนเมษายน ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อมั่นในมุมมองแนวโน้มการชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า Fed จะไม่สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเกินกว่าระดับ 5.25%

 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก อาทิ Fed, ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักดังกล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising