×

เงินบาท เปิดแข็งค่าที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์ หลังผลเลือกตั้งชี้เพื่อไทย-ก้าวไกล อาจจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันได้ หนุนต่างชาติกลับเข้าซื้อหุ้นไทย

15.05.2023
  • LOADING...
ค่าเงินบาท

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.99 บาทต่อดอลลาร์ หลังผลการเลือกตั้งทั่วไปชี้ว่า พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลอาจจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลร่วมได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติอาจมองเป็นภาพที่ดีและทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นมากขึ้นได้

 

พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่า แนวโน้มของค่าเงินบาทสัปดาห์นี้อาจขึ้นกับฟันด์โฟลวนักลงทุนต่างชาติ โดยผลการเลือกตั้งล่าสุดอาจเพิ่มโอกาสนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้น อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอไว้โดยโฟลวธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในเชิงเทคนิคัล โซนแนวต้านสำคัญจะอยู่ที่โซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ และเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน ส่วน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ จะเป็นโซนแนวรับสำคัญในระยะสั้นนี้

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้นมองว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังพอมีอยู่ แต่ Upside อาจจำกัด หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจออกมาแย่กว่าคาดและ/หรือตลาดกังวลปัญหาเพดานหนี้ (Debt Ceiling) อย่างไรก็ดี หากตลาดปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-Off) จากความผิดหวังรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน

 

โดยในสัปดาห์นี้ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) โดยตลาดคาดว่า ยอดค้าปลีกในเดือนเมษายนอาจพลิกกลับมาขยายตัว +0.7% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับภาวะการจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว 

 

ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่ขยายตัวขึ้นส่วนหนึ่งก็อาจมาจากการปรับตัวขึ้นของยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิง หลังราคาพลังงานปรับตัวขึ้นในเดือนเมษายนพอสมควร ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานและคาดการณ์ผลประกอบการล่าสุดของบรรดาบริษัทค้าปลีกอย่าง Home Depot และ Walmart ซึ่งอาจสะท้อนแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้คนในสหรัฐฯ ได้ 

 

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและต่อเนื่อง (Initial and Continual Jobless Claims) หลังจากในสัปดาห์ก่อน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกปรับตัวขึ้นแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจส่งสัญญาณชะลอตัวลงที่ชัดเจนขึ้น 

 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ Fed โดยเฉพาะ ประธาน Fed เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ Fed หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% พอสมควร ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ โดยผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้ (Debt Ceiling)

 

ในฝั่งยุโรป ตลาดมองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Survey) ในเดือนพฤษภาคม อาจปรับตัวลดลงแรงสู่ระดับ -5.5 จุด สะท้อนว่าบรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองที่เชิงลบหรือกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากผลกระทบของการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงภาวะค่าครองชีพสูง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB

 

สำหรับฝั่งเอเชีย ตลาดคาดว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายน อาจขยายตัว +20%YoY สอดคล้องกับการรายงานดัชนี PMI ภาคการบริการก่อนหน้าที่ยังคงอยู่ในระดับเกิน 50 จุด สะท้อนการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ 

 

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น นักวิเคราะห์ประเมินว่า อานิสงส์จากการเปิดประเทศจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นโต +0.7%YoY ในไตรมาสแรกของปีนี้ ดีขึ้นจากที่แทบจะไม่ขยายตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน นอกจากนี้ ตลาดยังมองว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนเมษายน อาจเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 3.4% หนุนโดยการบริโภคที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งจะสะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อ Core-Core CPI (ไม่รวมผลของราคาพลังงานและอาหารสด) ที่จะเร่งขึ้นสู่ระดับ 4.2% เช่นกัน ซึ่งจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นได้ในปีนี้

 

ขณะที่ฝั่งไทย ตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ราว +2.3%YoY ในไตรมาสแรกของปีนี้ ดีขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้า หนุนโดยการฟื้นตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งได้ช่วยหนุนให้เกิดการจ้างงานในภาคการบริการและส่งผลดีต่อการบริโภคโดยรวม 

 

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยยังคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.20 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาทต่อดอลลาร์


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising