วงบอยแบนด์อย่าง One Direction (ที่วงแตกไปแล้ว) EXO หรือ BIGBANG (เพียงแค่ยกตัวอย่าง แฟนคลับอย่าเพิ่งตีกัน!) ไม่ใช่สิ่งใหม่ในวงการดนตรีแต่อย่างใด เพราะหากเมื่อลองมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งอดีต ลุงๆ ป้าๆ หรือแม้แต่คุณยายคุณย่า ต่างก็เคยเริงร่ารุมกรี๊ดวงดนตรีอย่าง The Beatles หรือ The Rolling Stones มาก่อนเป็นแน่แท้
แต่ทว่าไม่น่าจะมียุคไหนที่วงบอยแบนด์สองวง ซึ่งถึงแม้จะมีบุคลิกของสมาชิกแตกต่างกันออกไป แต่ด้วยความคล้ายคลึงในแง่ของผลงานดนตรี รวมถึงกลุ่มเป้าหมายคนฟัง ทั้งสองวงที่สุดจะปังนี้จึงถูกแฟนบรรดาคลับจับมาใส่ไข่ ผสมดราม่าผสานความเป็นอริโยนลงไป ก่อกำเนิดเป็นหนึ่งในตำนานการเปรียบเทียบและแข่งขัน เพื่อแย่งชิงตำแหน่งสุดยอดบอยแบนด์อันดับ 1 ในตำนานแห่งโลกดนตรีตะวันตก ระหว่าง Backstreet Boys และ *NSYNC สองวงบอยแบนด์ที่เปรียบเสมือน ‘ไอคอน’ ของวัยรุ่นยุค 90s!
จุดเริ่มต้นและการก่อตั้ง
ด้วยเกมการตลาดที่คล้ายคลึงกัน กลุ่มเป้าหมายเดียวกัน แนวเพลงดนตรีที่แทบจะไม่แตกต่างกัน และเหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือทั้ง Backstreet Boys และ *NSYNC ต่างก็ถูก ‘ปั้น’ โดยโปรดิวเซอร์และแมวมองตาเฉียบนามว่า ลู เพิร์ลแมน (Lou Pearlman) ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการของทั้งสองวงอีกด้วยในเวลาต่อมา
Backstreet Boys เป็นวงแรกที่ฟอร์มวงผ่านการออดิชันจากเด็กวัยรุ่นชายหลายร้อยคน ณ เมืองออร์แลนโด มลรัฐฟลอริดา ในเดือนมกราคม ปี 1993 ด้วยสมาชิกที่ผ่านการคัดเลือกแรกเริ่ม (โดยที่เป็นเพื่อนกันมาก่อนซะด้วย) คือ เอ.เจ. แม็คคลีน (AJ McLean), ฮาวี โดโรห์ (Howie Dorough), นิก คาร์เตอร์ (Nick Carter) และ เควิน ริชาร์ดสัน (Kevin Richardson) ก่อนที่จะสมทบด้วยสมาชิกคนสุดท้ายคือ ไบรอัน ลิตเทรล (Brian Littrell) จนกลายมาเป็น Backstreet Boys ซึ่งชื่อ Backstreet นั้นมาจากชื่อตลาดนัดซึ่งเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นจุดสำคัญในเมืองออร์แลนโดนั่นเอง
ถัดจากนั้นเป็นเวลาเพียงแค่ 2 ปี ในปี 1995 ลู เพิร์ลแมน ก็ได้ปั้นวงดนตรีชายล้วนขึ้นมาอีกหนึ่งวง ผ่านการเสนอแนะเชิงร้องขอจาก คริส เคิร์กแพทริก (Chris Kirkpatrick) ผู้ซึ่งไม่ผ่านการออดิชันเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Backstreet Boys โดยมีการเฟ้นหาสมาชิกอีก 4 คนที่มีเคมีเข้ากัน ได้แก่ จัสติน ทิมเบอร์เลก (Justin Timberlake) และ เจซี แชเซซ (JC Chasez) จาก The Mickey Mouse Club, โจอี ฟาโทน (Joey Fatone) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคริส เมื่อครั้งสมัยทำงานที่ Universal Studios และ เจสัน กาลาสโซ (Jason Galasso) ซึ่งในเวลาต่อมาได้ลาออกจากการเป็นสมาชิก เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของทิศทางดนตรี ทำให้ แลนซ์ เบสส์ (Lance Bass) ได้ถูกเรียกเข้ามาเป็นสมาชิกคนสุดท้าย กำเนิดเป็นชื่อ *NSYNC จากการนำตัวอักษรสุดท้ายในชื่อของแต่ละคนมาเรียงต่อกัน ได้แก่ Justin, Chris, Joey, Lansten (ชื่อเล่นที่ทางวงมอบให้ Lance) และ JC นั่นเอง
ซาวด์ดนตรี
การที่ทั้งสองวงถูกวางหมากให้กลายเป็น Teen Idols ของวัยรุ่นในยุคนั้น รูปแบบดนตรีของทั้ง Backstreet Boys และ *NSYNC จึงหนีไม่พ้น Pop, Dance และ Ballad เจือกลิ่น R&B นิดๆ ให้พอติดลมในตลาดที่หลากหลายมากขึ้น แน่นอนว่าดนตรีโจ๊ะๆ บีทหนักๆ โฉ่งๆ ฉ่างๆ ย่อมถูกจับยัดลงไปในซาวด์ เพราะนั่นเป็นลายเซ็นของดนตรี Teen Pop ในยุค 90s ที่แท้จริง (แบบ บริตนีย์ สเปียร์ส, แมนดี มัวร์ หรือวงเกิร์ลแบนด์และบอยแบนด์ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดนางฟ้าในขณะนั้น)
ถึงแม้จะมีการถูกเปรียบเปรยโดยนักวิจารณ์ปากร้ายจากนิตยสาร Rolling Stone ว่า ต่อให้มีการนำเพลงของทั้งสองวงมาสลับกัน แฟนคลับก็ไม่สามารถจับผิดได้ แต่ถ้าหากลองพิจารณารายละเอียดของทั้งภาคดนตรีและเนื้อหากันจริงๆ ทางฝั่ง Backstreet Boys ดูจะมีความสุขุม นุ่ม เป็นผู้ใหญ่กว่าทางฝั่ง *NSYNC อยู่เล็กน้อย อย่างเช่น ในขณะที่ *NSYNC เลือกที่จะตัดเพลงบัลลาดป๊อปใสๆ ไร้ความทะมึนอย่าง I Drive Myself Crazy มาเป็นซิงเกิลปิดท้ายอัลบั้มแรกในปี 1999 ในตลาดอเมริกา ทางฝั่ง Backstreet Boys ได้มีการวางมาดเท่ ตัดเพลงที่มีกลิ่น Urban ลอยโขมงอย่าง I’ll Never Break Your Heart และ Anywhere For You ออกโปรโมตตั้งแต่ช่วงปลายปี 1995 จนถึงกลางปี 1996
โดยนักวิจารณ์เพลงต่างลงความเห็นว่า นี่คือความตั้งใจที่จะตีตลาดสาวน้อยสาวใหญ่ให้กระจุยกระจาย ด้วยเพลงช้าจังหวะซึ้ง ดึงน้ำหมากแม่ยกให้มาเป็นแฟนคลับ ซึ่งก็น่าจะถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เช่นเดียวกับทาง *NSYNC ที่ได้แฟนเพลงเป็นวัยรุ่นเท้าไฟ กระชากใจสาวๆ ด้วยเพลงจังหวะคึกคัก เหมาะกับนักปาร์ตี้ ที่ทางต้นสังกัดวางแผนโปรโมต อย่างเพลง I Want You Back และ Tearin’ Up My Heart ก่อนที่ทั้งสองวงจะมาถึงจุดที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งในตลาดโดยตรงในเวลาต่อมา
ความสำเร็จบนชาร์ตเพลง
มี บริตนีย์ สเปียร์ส ก็ต้องมี คริสตินา อากีเลรา มีเจ้าแม่ดิวาอย่าง มารายห์ แครีย์ ก็ต้องมีราชินี Vocal นาม วิตนีย์ ฮุสตัน เมื่อสถานะในวงการดนตรีของสองศิลปินมีความคล้ายกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะเกิดการแข่งขันทั้ง ‘ใน’ และ ‘นอก’ จอ เป็นธรรมดา
จริงอยู่ที่ยุคทองของตลาดบอยแบนด์ทั่วโลกนั้นคือช่วงปลายปี 90s แต่ช่วงที่การแข่งขันของบอยแบนด์ ‘เบอร์ใหญ่’ ที่ยังสามารถพยุงสถานะความนิยมของตนเองมาได้ในระยะยาว คือช่วงยุคต้นปี 2000 ที่ทั้ง Backstreet Boys และ *NSYNC คือสองในไม่กี่วงที่ยังรักษาฐานแฟนคลับของตนเองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น พร้อมกับการพิสูจน์ประโยคที่มีคนกล่าวเอาไว้ว่า ‘สถิติมีไว้ทำลาย’ ได้อย่างสมเกียรติภูมิ
ทั้ง Backstreet Boys และ *NSYNC ต่างก็มีอัลบั้มเปิดตัวที่ขายได้แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่ยอดเปรี้ยงเมื่อนับรวมกันถ้วนหน้า โดยอัลบั้มเปิดตัวของ Backstreet Boys นั้นขายได้มากกว่า 13.4 ล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อัลบั้มแรกของ *NSYNC ก็กวาดยอดขายไปกว่า 11 ล้านแผ่น และได้รับรางวัลแผ่นเสียงระดับ Diamond จาก Recording Industry Association of America (RIAA) เช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากไม่ได้วัดกันที่ยอดขายเพียวๆ ผลงานที่ส่งให้ทั้งสองบอยแบนด์นี้โด่งดังเป็นโอ่งมังกรแตกในระดับโลกนั้นได้แก่ สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ของทั้งสองวง อันได้แก่ Millennium ของ Backstreet Boys และ No Strings Attached ของ *NSYNC ที่ทำให้ทั้งสองวงกลายเป็นบอยแบนด์ระดับ ‘อภิมหาดัง’ ทั้งในและนอกประเทศบ้านเกิด (สหรัฐอเมริกา) อย่างเต็มภาคภูมิ
ในขณะที่ Backstreet Boys ออกวางจำหน่ายอัลบั้ม Millennium ในเดือนพฤษภาคม ปี 1999 ซิงเกิลเปิดตัวอัลบั้มอย่าง I Want It That Way นั้นได้ขึ้นอันดับ 1 ใน 25 ประเทศทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่แฟนเพลงทั่วโลกจดจำพวกเขาได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน ส่วนทาง *NSYNC นั้นก็ไม่น้อยหน้า นำพา It’s Gonna Be Me ซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม No Strings Attached ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 2000 ขึ้นไปถึงอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงบนชาร์ต Billboard Hot 100 ประเด็นหลังทำให้แฟนๆ ของ Backstreet Boys พากันตาร้อนผ่าวๆ เนื่องจากอันดับสูงสุดที่ทาง Backstreet Boys เคยทำได้บนชาร์ต Billboard Hot 100 นั้นคืออันดับ 2 จากเพลง Quit Playing Games (With My Heart) ในปี 1996 เท่านั้น
อัลบั้ม No String Attached ของ *NSYNC ได้กลายเป็นอัลบั้มเจ้าของสถิติยอดขายสัปดาห์แรกสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการเพลงสหรัฐอเมริกา ด้วยตัวเลข 2.4 ล้านแผ่น ซึ่งสถิตินี้เป็นของพวกเขายาวนานกว่า 15 ปี จนกระทั่ง อเดล (Adele) พาอัลบั้ม 25 มาทำลายแบบทุกคนต้องอ้าปากค้างจนขากรรไกรซ้นในปี 2015 ที่ผ่านมาหยกๆ นี้เอง
อย่างไรก็ดี เมื่อการแข่งขันไต่ลำดับชาร์ตเพลงของทั้งสองอัลบั้มได้สิ้นสุดลง กลายเป็น Backstreet Boys ที่ปิดท้ายตัวเลขยอดขายได้มากที่สุด โดยอัลบั้ม Millennium นั้นขายได้กว่า 13 ล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา และกว่า 40 ล้านแผ่นทั่วโลก โดยกลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลทั่วโลก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นแชมป์ขวัญใจสถานีวิทยุในอเมริกาแบบ *NSYNC ก็ตาม
ภาพลักษณ์และคุณค่า
อิทธิพลของทั้ง Backstreet Boys และ *NSYNC ที่มีต่อแฟนๆ วัยรุ่นอเมริกันและทั่วโลกในช่วงปลายยุค 90s นั้นช่างมีมากมายนานัปการ ไล่มาตั้งแต่การที่ Backstreet Boys ถูกยกให้เป็นต้นแบบของ ‘ความเป็นบอยแบนด์’ ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์ การแต่งกาย เคมี หรือความหลากหลายของสมาชิกแต่ละคน และบทบาทของแต่ละสมาชิกในวงที่ไม่ถูกกลืนด้วยคนที่เด่นกว่า ดังเช่นวงดนตรีหลายวงในช่วงเวลาเดียวกันอย่าง Destiny’s Child ที่กลายเป็นวง Beyonce and The Backups หรือคู่แข่งตลอดกาลที่เรากำลังพูดถึงในที่นี้อย่าง *NSYNC ที่แทบจะทุกเพลงตั้งแต่มีการฟอร์มวงมา ถูกขับร้องโดยสมาชิกเพียง 2 คน คือ จัสติน ทิมเบอร์เลก และเจซี แชเซซ
อย่างไรก็ดี ในแง่ของความเป็นป๊อปสตาร์ กระแสคู่จิ้นที่มีมาในทุกยุคทุกสมัย กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปยังจัสติน ทิมเบอร์เลก สมาชิกของ *NSYNC ในฐานะของแฟนหนุ่มของนักร้องสาวดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในขณะนั้นอย่าง บริตนีย์ สเปียร์ส (ตีคู่มากับคู่ของ นิก ลาเชย์ แห่งวงบอยแบนด์ 98 Degrees และนักร้องสาว เจสสิกา ซิมป์สัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน)
ศิลปินหลายคนในช่วงต้นยุค 2000 (หรือแม้แต่ในปัจจุบัน) ต่างออกมายอมรับว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากทั้ง Backstreet Boys และ *NSYNC ในการเป็นต้นแบบทางด้านต่างๆ ทั้งภาพลักษณ์ การแต่งกาย การนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงผลงานดนตรี ศิลปินอย่าง The Wanted, One Direction, Westlife หรือ Blue ต่างเคยให้สัมภาษณ์ยกย่อง Backstreet Boys ว่าเป็น ‘ตำนานที่สร้างแรงบันดาลใจ’ ให้กับพวกเขา
ในขณะเดียวกัน *NSYNC ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในการสร้างอัตลักษณ์ทางด้านบทเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงตลาดอเมริกา ได้มากกว่า ดนตรีประเภท ‘ตึง ตึง ตึง โป๊ะ ฉึกกะฉึก’ ที่เหล่าบรรดาแฟนคลับคุ้นเคยกันดีจากซิงเกิลอย่าง Bye Bye Bye และ It’s Gonna Be Me ได้กลายเป็นสิ่งที่ใครได้ยินก็ต้องนึกถึงพวกเขา ซึ่งนั่นเปรียบเสมือนซาวด์หลักของดนตรี Teen Pop ในยุค 90s ที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไร ณ สถานที่แห่งหนใดในปัจจุบัน คุณน้า คุณอา หรือคุณพี่ที่ต่างทำหน้ายิ้มร่า พลางทำเสียง “หูววววว เฮ้ยยยยย!” ล้วนแต่มักจะเป็นคนที่เคยผ่านช่วงเวลาหอมหวานแห่งยุค 90s มาด้วยกันแทบทั้งสิ้น – เครื่องวัดอายุเหรอ? ก็อาจจะใช่นะ!
ในขณะที่ Backstreet Boys ถูกจารึกให้เป็นวงบอยแบนด์ที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการดนตรีโลกตะวันตก การันตีด้วยยอดขายมากกว่า 130 ล้านแผ่นทั่วโลก *NSYNC ตามมาห่างๆ ด้วยยอดขาย 70 ล้านแผ่นทั่วโลก และอยู่ในลำดับที่ 8 ในฐานะวงบอยแบนด์ที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล โดยถึงแม้จะเป็นรองทางด้านตัวเลขยอดขายแผ่นเสียงโดยรวม แต่ผลงานเพลงที่มักจะทำลำดับได้อย่างน่าประทับใจบนชาร์ตเพลงทั่วโลก ความติดหู และความน่ารักน่าเอ็นดูของ ‘เจ้าหยอย’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่คนไทยมักเรียกจัสติน ทิมเบอร์เลกในขณะนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำหัวใจของสาวๆ ทั่วโลกหลอมละลายหายไปกับบัตรคอนเสิร์ต The PopOdyssey Tour ซึ่งขายหมดเกลี้ยงและทำรายได้ไปกว่า 90 ล้านเหรียญในปี 2001
เมื่อสองวงดนตรีเดินทางมาถึงทุกวันนี้
ปัจจุบันนี้ Backstreet Boys ยังคงออกผลงานอัลบั้มอยู่ พร้อมด้วยสมาชิกดั้งเดิมทั้งหมด 5 คนไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 9 กำลังจะเสร็จสิ้นการอัดเสียงในเร็วๆ นี้ และคอนเสิร์ตในลาสเวกัสของพวกเขาที่มีชื่อว่า Backstreet Boys: Larger Than Life ยังจะมีให้ชมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2018
*NSYNC ในขณะนี้ไม่ได้มีผลงานเพลงออกมาสู่ตลาดแล้ว ส่วนสมาชิกคนสำคัญอย่างจัสติน ทิมเบอร์เลก กำลังมีหน้าที่การงานในวงการดนตรีซึ่งไปได้สวยเหลือเกิน และต้องดูว่าวงจะมารวมตัวสำหรับการแสดงของจัสตินที่ Super Bowl ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าหรือไม่ เหมือนที่ก่อนหน้านี้เคยรวมตัวที่งาน MTV Video Music Award ในปี 2013
คำถามประเภทที่ว่า “ใครดีกว่าใคร?” อย่างไรมันก็ยังคงเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนบุคคลของผู้ตัดสิน ซึ่งถ้าหากผู้เขียนมีการระบุ ‘ผู้ชนะ’ ในที่นี้ ระหว่าง Backstreet Boys และ *NSYNC ผู้เขียนอาจจะเสี่ยงจากการถูกดักตบตามสี่แยกไฟแดงได้ อย่างไรก็ดี การแข่งขันในวงการดนตรีบางทีก็เป็นเหมือนการสร้างสีสันให้บรรดาแฟนคลับมีอะไรให้ขบคิด วิเคราะห์ และแขวะกันได้ตลอดเวลา จนถึงขั้นเคยมีการตั้งชมรม Backstreet Boys’ Haters และ *NSYNC’s Haters สำหรับกลุ่มผู้ฟังที่เกลียดชังแต่ละวง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในอีกแง่มุมหนึ่งนั้นอาจจะเป็นแรงผลักดันให้ตัวศิลปินต้องพัฒนาผลงานของตนเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้สมกับความคาดหวังของแฟนๆ ที่รอคอยจะนำผลงานไป ‘บลัฟฟ์’ อีกฝ่าย กลายเป็นความสนุกสนานที่น่าหมั่นไส้ คือความบันเทิงเริงใจ ซึ่งถ้าหากมีเด็กๆ ยุคใหม่บ่นว่าไม่เก็ต เราก็พร้อมจะผายมือไปทาง EXO VS BIGBANG หรือ Fifth Harmony VS Little Mix ให้ชมกันเป็นตัวอย่างในบัดดล
อ้างอิง:
- metro.co.uk/2016/05/06/8-reasons-why-the-backstreet-boys-have-changed-all-our-lives-forever-5863028
- noisey.vice.com/en_ca/article/evvpge/backstreet-boys-is-the-greatest-boy-band-album-of-all-time
- www.billboard.com/articles/news/billboard-lists/7526410/diamond-certified-album-riaa-ranked
- www.mtv.com/news/1435375/nsync-britney-backstreet-boys-ruled-in-2000
- www.nsync-fans.com/history.htm
- hornetapp.com/stories/definitive-90s-boy-band-backstreet-boys-vs-nsync