เมื่อคืนผมไปดู คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด Dream Journey ของ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ รอบแรกแล้วก็ทึ่งในตัวพี่เบิร์ดและทีมงานมากๆ ทั้งในแง่การทำการบ้านเรื่องความคิดสร้างสรรค์ งานด้านโปรดักชันที่ดีที่สุดในประเทศเวลานี้ และพลังของพี่เบิร์ดที่กราฟไม่มีตกเลยแม้แต่น้อยตลอด 3 ชั่วโมงกว่า น่าจะทำให้เราได้เห็นว่าพี่เบิร์ดคือนักร้องอันดับหนึ่งของประเทศไทยที่ทุกคนควรภูมิใจ
ในฐานะที่ผมเคยสัมภาษณ์พี่เบิร์ดและคนทำงานรอบตัวมาในช่วงการเตรียมคอนเสิร์ต ผมเชื่อว่าเรื่องราวการทำงานของพี่เบิร์ดน่าจะเป็นประโยชน์กับคนทำงานอย่างพวกเราได้ว่าตัวจริงเขาทำงานกันแบบนี้นี่เอง และเพราะทำงานแบบนี้ พี่เบิร์ดจึงยังคงเป็น ‘พี่เบิร์ด’ ตลอดมาและตลอดไป
มีคนเหนื่อยกว่าเราเสมอ และเราต้องขอบคุณเขา
พี่เบิร์ดเล่าให้ฟังว่าตอนที่เทปอัลบั้มแรกยังไม่ออก ยังไม่มีชื่อเสียงมากเลยด้วยซ้ำ พี่เบิร์ดไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่เกาะเสม็ด ก็ได้เห็นว่ามีคนมากมายต้องตื่นเช้าเพื่อมาทำงาน และพี่เบิร์ดก็ได้เข้าใจว่า “ดูสิ มีคนมากมายทำเพื่อเรา”
ทุกคอนเสิร์ต พี่เบิร์ดจะมาก่อนและกลับเป็นคนท้ายๆ ก่อนกลับพี่เบิร์ดจะเดินขอบคุณทุกคนที่มาช่วยงาน เรื่องนี้ผมเคยคุยกับ หญิง-รฐา โพธิ์งาม ซึ่งเคยร่วมงานในคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด หญิงเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าทุกวันก่อนกลับบ้าน พี่เบิร์ดจะเดินขอบคุณทีมงานทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ รปภ. ของศูนย์วัฒนธรรมฯ แม่บ้านกับคนงาน ทุกคนจะได้รับการทักทาย ทุกคนจะได้รับการมองเห็น ทุกคนมีความหมาย ไม่มีใครถูกลืม
เมื่อคืนบนเวที พี่เบิร์ดเล่าให้ฟังว่ามีทีมงานมากมายมาช่วยกันทำคอนเสิร์ตในครั้งนี้ ที่เห็นพี่เบิร์ดบนเวทีแล้วเวทีหมุนให้พี่เบิร์ดยืนโชว์ได้สวยงามนั้น ข้างใต้เวทีมีคนงานกำลังหมุนเวทีอยู่ มีคนมากมายที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของคนดู เพราะเขาต้องทำหน้าที่ของเขา พี่เบิร์ดอยากให้เขารู้ว่าคนดูมีความสุขแค่ไหน “พี่เบิร์ดขอให้คนดูช่วยส่งเสียงกรี๊ดและปรบมือให้พวกเขาด้วย”
เช่นเดียวกัน ตลอดโชว์ของพี่เบิร์ดนั้น ต่อให้พี่เบิร์ดเป็นพระเอกเจ้าของงาน แต่พี่เบิร์ดจะมีช่วงที่ขยับมาแถวหลังเพื่อให้แขกรับเชิญได้ส่องประกาย แขกรับเชิญที่มาหลายๆ คนมีความสามารถอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และเมื่อมีเวทีให้ เขาจะเปล่งศักยภาพออกมา ทั้งแต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ นักแสดงที่ดูเรียบร้อยมากจนเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเต้นได้เผ็ดร้อนขนาดนั้น, ปราง-กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล นักแสดงที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเล่นไวโอลินได้เก่งขนาดนี้, ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง และโอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน ก็มีช่วงเวลาได้ปล่อยมุกของตัวเองอยู่ตลอด ซึ่งไหวพริบแพรวพราวมาก รวมไปถึงทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยซึ่งปกติอยู่แต่ในสนามแข่ง สู้เพื่อคนไทยทั้งประเทศ วันนี้ได้มีโอกาสพูดขอบคุณคนไทย ได้เล่าถึงช่วงเวลาที่เริ่มต้นทีมด้วยกันมาแบบที่แพ้ตลอด ไม่มีใครเชียร์ และขอให้ทุกคนร่วมฝันที่จะไปโอลิมปิกด้วยกัน ก็นับเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่ดีที่สุดในคอนเสิร์ต
พี่เบิร์ดไม่ได้ทำให้รู้สึกว่านี่คือเวทีของฉัน ใครห้ามเด่นเกินฉัน ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกว่านี่เจ้าของบ้าน นั่นแขก แต่ทำให้รู้สึกเหมือนคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน
ถ้าเรามองเห็นคุณค่าของคนอื่น เราจะไม่มองข้ามใครแม้ในเรื่องเล็กน้อยที่เขาเคยทำให้เรา ความสำเร็จใดๆ ที่เราได้รับในวันนี้ไม่ได้มาจากตัวเราคนเดียว แต่มีคนเหนื่อยกว่า มีคนเหนื่อยเพื่อเรา และเขาอาจจะไม่เคยร้องขอเครดิตต่อความสำเร็จที่เรามีเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องมองเห็นมือทุกมือที่ไม่มีใครมองเห็น มือที่มาช่วยผลักดันให้งานสำเร็จ และเขาควรได้รับเกียรติ ได้รับการชื่นชม ได้รับการมองเห็นแบบที่เราได้รับ เราต้องขอบคุณที่เขาทำเพื่อเรา
ซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม
ต่อให้เราได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักและเป็นสิ่งที่เรามีความสามารถ แต่อย่ามองข้ามการฝึกฝน
พี่เบิร์ดเล่าว่าตัวเองเตรียมตัวขึ้นคอนเสิร์ตเหมือนนักกีฬา ทันทีที่รู้ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีคอนเสิร์ต พี่เบิร์ดจะเตรียมร่างกายให้พร้อม จะเริ่มจินตนาการว่าใน 3 ชั่วโมงนี้มีอะไรบ้าง แล้วใช้การเดินวิ่งบนลู่วิ่งเป็นการซ้อมร่างกายตลอด 3 ชั่วโมง เช่น เดาว่าเพลงเซตแรกต้องเป็นเพลงเต้น พี่เบิร์ดจะวางแผนประกอบความเร็วของลู่วิ่งให้เร็วและชันเพื่อให้ร่างกายคุ้นเคยเหมือนเวลาต้องเต้น เซตต่อมาเป็นเพลงช้า พี่เบิร์ดจะปรับความเร็วลู่วิ่งให้ช้าลง ทำแบบนี้ไปจนครบ 3 ชั่วโมงกว่า ทำแบบนี้ทุกวัน เตรียมพร้อมตั้งแต่ทีมงานยังเตรียมงานไม่เสร็จ แต่พี่เบิร์ดเตรียมพร้อมรอไว้แล้ว แล้วทีมงานปรับเซตลิสต์แบบไหน พี่เบิร์ดก็จะปรับการออกกำลังตามนั้นเพื่อให้ร่างกายชิน พี่เบิร์ดทำทุกอย่างบนลู่วิ่งให้เหมือนกับทุกสิ่งที่ต้องเกิดบนเวที
นอกจากนั้นพี่เบิร์ดจะปรับตารางชีวิตล่วงหน้า เช่น รู้ล่วงหน้าว่าต้องเล่นคอนเสิร์ตหนึ่งทุ่มในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ต้องเล่นบ่ายสาม พี่เบิร์ดจะปรับเวลานอนกับเวลาตื่นเพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อม ทำแบบนี้ล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เพื่อให้ร่างกายชิน
ซึ่งในแต่ละวัน พี่เบิร์ดจะมีตารางการซ้อมที่ชัดเจนมาก ซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ซึ่งตลอดทางจนถึงตอนขึ้นเวทีจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ซึ่งพี่เบิร์ดบอกว่าเปลี่ยนกันจนวินาทีสุดท้าย เพราะฉะนั้นนอกจากอาศัยการมีวินัยในการซ้อมแล้วยังต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เปลี่ยนปุ๊บเรียนรู้ใหม่ปั๊บ และต้องทำให้ได้ ต้องทำให้ได้
พี่เบิร์ดและแดนเซอร์ ตลอดจนทุกองค์ประกอบที่เราได้เห็นบนเวทีนั้นผ่านการซ้อม การเปลี่ยน การโละ การเรียนรู้ใหม่มานับไม่ถ้วน และผมคิดว่าก็คงเหมือนงานที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ล่ะครับ ที่เราต้องมาถามตัวเองว่าฝึกฝนมากพอหรือยัง เตรียมตัวมาพร้อมแค่ไหนเพื่อทำงานของเราให้ดีที่สุด
อย่าหยุดที่จะฝัน
ผู้ชายคนที่อยู่บนเวทีนั้นอายุ 60 ปี ทำงานเดิมมามากกว่า 30 ปี และตลอดทางก็มีคนถามมาตลอดว่ายังไหวไหม แก่เกินไปหรือเปล่า
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย พี่เบิร์ดเองก็เคยเล่าว่าไม่เคยคิดว่าจะลากยาวมาได้ขนาดนี้ แต่พอถึงจุดหนึ่งก็คิดว่าทำไมเราจะต้องเอาสิ่งที่คนคิดมาเป็นเงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตว่าเราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ ในเมื่อเรารักที่จะทำและเชื่อว่าเราทำได้อยู่
ผมคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าพี่เบิร์ดอยู่เฉยๆ ตรงกันข้าม พี่เบิร์ดยิ่งซ้อมมากกว่าเดิม และผมคิดว่ายิ่งซ้อม ยิ่งฝึก ก็เหมือนยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวพี่เบิร์ดและทีมงานว่าเราทำได้ ความเชื่อมันยิ่งใหญ่มาก แต่ความเชื่ออย่างเดียวจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าเราไม่ลงมือทำ ทำจนความเชื่อนั้นหลอมรวมเป็นตัวตนของเรา
ไลน์การเต้นของโชว์เมื่อคืนซับซ้อนและเท่มาก มีรายละเอียดยุบยับเต็มไปหมดในแต่ละเพลง ในฐานะคนที่ดูคอนเสิร์ตของพี่เบิร์ดมาเยอะ โชว์นี้มีไลน์การเต้นที่เท่และยากที่สุด แต่พี่เบิร์ดก็ทำได้ และทำได้ดีกว่าคอนเสิร์ตที่เคยมีมา
เช่นเดียวกันกับทีมงาน ผมเคยได้คุยกับพี่ๆ ครีเอทีฟในตำนานที่อยู่เบื้องหลังแบบเบิร์ดเบิร์ดทุกครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย ทุกคนเจอความท้าทายเดียวกันคือยังจะเหลืออะไรให้พี่เบิร์ดทำได้อีก เพราะที่ผ่านมาทำไปหมดแล้ว โจทย์มันยากยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อคืนในเชิงโปรดักชันและความคิดสร้างสรรค์แล้ว ผมพบว่าพวกพี่ๆ เขาก็ปล่อยเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน มีเซอร์ไพรส์ใหม่ๆ บนเวทีอยู่เรื่อยๆ เหมือนได้ดูงานที่ยอดฝีมือที่สุดในประเทศมาปล่อยของกัน
ทุกวินาทีบนเวทีนั้น พี่เบิร์ดและทีมงานให้คำตอบกับพวกเราแล้วว่าไหวสิ ทำไมจะไม่ไหว ยังไหวอีกไกล และยังจะรักในสิ่งที่ทำนี้อยู่ตลอดไป
คนที่เคยคิดว่าฉันทำไม่ได้หรอก ฉันไม่ดีพอหรอก ฉันแก่ไป ฉันเด็กไป ฉันมีสิ่งนั้นเกินไป ฉันมีสิ่งนี้ขาดไป ถ้าได้เห็นสิ่งที่พี่เบิร์ดทำ เห็นการทำลายกรอบของตัวเองและมีความสุขกับมัน เดินหน้าทำสิ่งที่เรารัก และทำสิ่งนั้นให้กลายเป็นความสุขและแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ผมคิดว่าบทเรียนจากพี่เบิร์ดน่าจะทำให้หลายคนลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และมีพลังที่ทำมันต่อโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ มาขวางกั้นฝันของตัวเองได้
คอนเสิร์ตนี้ชื่อ ‘Dream Journey’ การไปให้ถึงฝันเป็นเรื่องยากครับ แต่ไม่ใช่เรื่องเกินกว่าที่มนุษย์จะทำ
พี่เบิร์ดทำมันให้เราเห็นแล้วครับ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด ครั้งที่ 11 Dream Journey เปิดการแสดงในวันที่ 17, 18, 24, 25 พฤศจิกายน 2561 ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี