×

‘อรรถวิชช์’ ยื่นหลักฐาน สตง. สอบปมตั้งงบสัมมนาเขตจตุจักร เปรียบเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ยันไม่ใช่เกมการเมือง

โดย THE STANDARD TEAM
13.09.2022
  • LOADING...
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

วันนี้ (13 กันยายน) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า เดินทางมายื่นหนังสือและเอกสารงบประมาณประจำปี 2566 ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการจัดงานสัมมนา หลังพบความผิดปกติ

 

อรรถวิชช์กล่าวว่า วันนี้ได้นำเอกสารในการแปรญัตติงบประมาณของ กทม. ประจำปี 2566 ทุกรายการมายื่นให้กับผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โดยตนไม่ต้องการเห็นงบประมาณที่ถูกแปรญัตติถูกโยกไปเป็นงบสัมมนา ซึ่งเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านบาทในเขตจตุจักร จากที่ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมพบว่า มีอีก 26 เขต งบประมาณ 111 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 72 โครงการ โดยกระบวนการหลังจากนี้ สตง. จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำกับ กทม. ได้ 

 

อรรถวิชช์กล่าวต่อไปว่า หากเทียบเคียงกับกรณีของสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2560 เวลาตัดงบเพื่อแปรญัตติ จะมีการเพิ่มในส่วนงบกลาง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้นำไปใช้ดูแลวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น โรคระบาด หรือน้ำท่วม แต่ กทม. มีความผิดปกติ มีการตัดงบประมาณแปรญัตติ แล้วนำมาแปลงเป็นโครงการใหม่ ซึ่งไม่เคยมีโครงการมาก่อนกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทุกเขต โดยตั้งแต่ปี 2557 ไม่เคยมีการทำโครงการลักษณะแบบนี้มาก่อน ตนยืนยันว่าอยากให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้มีงบกลางในการนำไปใช้แก้ปัญหาวิกฤตโดยตรง แต่หากยังใช้วิธีนี้จะเหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

 

“ผมยืนยันว่าสิ่งที่เราทำขนาดนี้ ผมทำเพื่อให้ท่านผู้ว่าฯ อยากให้มีงบกลางในการเข้ามาดูแลงบประมาณ เรื่องวิกฤตของกรุงเทพมหานครโดยตรง แต่หากท่านไปใช้วิธีเก่า คือนำมาหารเฉลี่ยลงไปตามเขต แปลงกลายเป็นงบสัมมนาต่างๆ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หายไปหมดเลย” อรรถวิชช์กล่าว 

 

อรรถวิชช์ยังยกตัวอย่างว่า เวลาช่วงวิกฤตของ กทม. มักเกิดปัญหา เช่น น้ำท่วม ก็ไม่มีงบน้ำมันเติมเครื่องสูบน้ำ ซึ่งตนคนเดียวทำไม่ไหว ต้องให้ผู้ว่าฯ สตง. เข้ามาดำเนินการตรวจสอบอีกทาง

 

อรรถวิชช์กล่าวด้วยว่า จะมีการเริ่มใช้งบประมาณ ปี 2566 วันที่ 1 ตุลาคม หากเรื่องที่ สตง. ดำเนินการได้ทัน จะส่งผลดีต่อผู้ว่าฯ กทม. อย่างแน่นอน นอกจากงบประมาณในการแปรญัตติที่ผิดสังเกตแล้ว ยังมีความผิดปกติอื่นอีก แต่ตอนนี้อยากกล่าวถึงงบของการสัมมนา เพื่อแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมีอะไรอีกเยอะ เช่น งบครุภัณฑ์ ที่มีความแปลกประหลาดเรื่องราคาที่ผิดปกติ ตนพูดมากกว่านี้ไปไม่ได้ ขอให้ สตง. ดำเนินการตรวจสอบดีกว่า ส่วนตัวคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ กทม. ในการตรวจสอบครั้งนี้

 

“บ่นไม่ได้เลย กรุงเทพมหานครไม่เหมือนหน่วยงานอื่นนะครับ การจะไปขอกู้ ยังกู้ไม่ได้เลยในขณะนี้ คิดเอาแล้วกันว่าในการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลางแล้วเกิดวิกฤตจะทำอย่างไร โดยเฉพาะโลกปัจจุบันเราเจอวิกฤตตลอด มันจะกลายเป็นว่า 3-4 ปีจากนี้ไป ท่านผู้ว่าฯ ก็จะติดขัดแบบนี้ตลอด” อรรถวิชช์กล่าว 

 

อรรถวิชช์กล่าวอีกว่า สตง. สามารถมีมาตรการบังคับใช้หลายแบบหลังจากนี้ เช่น ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อหากพบความผิดปกติ โดย กทม. มีอำนาจในการตัดงบ แต่ไม่สามารถเพิ่มงบได้ แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการขอเพิ่ม และขอควบคุมเอง จะถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร ส่วนที่มีการชี้แจงจาก จักกพันธ์ุ ผิวงาม รองผู้ว่าฯ กทม. ออกมาโต้ว่า กทม. ไม่มีงบพาหัวคะแนนไปสัมมนานั้น อรรถวิชช์ฝากถึงจักรพันธ์ว่า ให้นำเอกสารที่ขอไปยังเขตจตุจักรมาตรวจสอบอีกครั้งจะเห็นชัด 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ อรรถวิชช์กล่าวว่าไม่ใช่เกมการเมือง เพราะพวกเราหลายคนในพรรคกล้าก็เลือกผู้ว่าฯ ชัชชาติเกินครึ่ง อยากเห็นผู้ว่าฯ ชัชชาติทำงานแบบสุดความสามารถ ตนอยากเห็นมานานแล้วว่ารูปแบบการบริหารงบประมาณจะเป็นอย่างไร เพราะทุกคนโอดเหมือนกันหมดในช่วงวิกฤต 

 

“เราวนมากี่ทีเเล้วเรื่องเครื่องสูบน้ำไม่มีน้ำมัน เพราะไม่ได้ตั้งงบไว้ ไม่มีใครรู้ว่าจะท่วมหนัก เรื่องแบบนี้มันเป็นงบวิกฤต งบกลาง แล้วใส่ลงไปเหมือนน้ำมันหล่อลื่นได้

 

“การบริหารจัดการงบของกรุงเทพมหานครสำคัญที่สุดคือเรื่องเงิน เพราะทุกอย่างต้องเดินไปด้วยเงิน หากผู้ว่าฯ ลงไปแล้ว ไม่สามารถชี้สั่งงานโครงการได้เลย ท่านจะลำบากมาก ผมคิดว่าเรื่องนี้มันสำคัญ ไม่อย่างนั้นกรุงเทพมหานครจะบูรณาการงานไม่ได้” อรรถวิชช์กล่าวในที่สุด

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising