×

Apple เล็งเก็บค่าแอปเพิ่มจากผู้ใช้งานในเอเชีย-ยุโรป มีผลบังคับใช้วันที่ 5 ตุลาคมนี้

21.09.2022
  • LOADING...

ผู้ใช้งาน Apple ในประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ และโปแลนด์ เตรียมควักกระเป๋าจ่ายเงินเพิ่มสำหรับแอปพลิเคชันบน App Store ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป โดยบล็อกโพสต์ของบริษัทระบุว่า ราคาแอปพลิเคชันใหม่นี้ยังมีผลครอบคลุมถึงอียิปต์ สวีเดน เวียดนาม และบรรดากลุ่มประเทศผู้ใช้เงินสกุลยูโร โดยจะเริ่มอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 5 ตุลาคมนี้

 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังสะท้อนถึงข้อบังคับใหม่สำหรับ Apple ในเวียดนาม ที่กำหนดให้บริษัทต้องเก็บและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ที่กำหนดไว้ที่ 5%

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


Trevor Long นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบมากที่สุดต่อการซื้อแอปพลิเคชันที่มีราคาต่ำสุด โดยเจ้าตัวมองว่าสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ Apple ไม่ได้กำหนดราคาของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นแอปหรือการซื้อผ่านแอปภายใน Apple แต่บริษัทได้ตั้งราคาที่เพิ่มขึ้นสำหรับนักพัฒนาและผู้เผยแพร่ ขณะเดียวกันการปรับโครงสร้างราคาของ Apple มักจะส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในระดับราคาต่ำสุด ขณะที่นักพัฒนาเหล่านั้นไม่สามารถลดราคาลงไปสู่ระดับถัดไปได้

 

วันเดียวกัน ทางสถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อย่าง Walmart, Target และ Kroger ตลอดจนห้างสรรพสินค้าและร้านขายของชำทั่วสหรัฐฯ ต่างแสดงจุดยืนสนับสนุนร่างกฎหมายของสภาคองเกรสที่ตั้งเป้าจะลดค่าธรรมเนียมการรูดบัตร หรือที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนที่ผู้ค้าปลีกจ่ายทุกครั้งที่ลูกค้าทำการซื้อด้วยบัตรทั้งหลาย

 

โดยจดหมายเปิดผนึกของภาคธุรกิจถึงฝ่ายนิติบัญญัติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าธรรมเนียมรูดบัตรเครดิตในสหรัฐอเมริกาสูงกว่าที่อื่น เช่น สูงกว่ายุโรปถึง 7 เท่า ซึ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น

 

Nilson Report ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการให้บริการชำระเงิน พบว่า ค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนจะถูกใช้ผ่านระบบที่ซับซ้อน และค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปตามผู้ค้า ขนาดธุรกรรม ประเภทของบัตรที่ใช้ และสถาบันการธนาคาร โดยปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและพ่อค้าทั้งหลายจ่ายค่าธรรมเนียมการดำเนินการไปประมาณ 1.38 แสนล้านดอลลาร์

 

ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมเหล่านี้มักจะอยู่ระหว่าง 1-3% ของราคาสุดท้ายของธุรกรรม และร้านค้ามักจะส่งต่อค่าธรรมเนียมไปยังลูกค้า ทำให้ราคาของสินค้าสูงขึ้น

 

เป้าหมายของการลดค่าธรรมเนียมการรูดบัตรครั้งนี้เป็นไปเพื่อสร้างการแข่งกันให้มากขึ้นในธุรกิจบริการชำระเงินด้วยบัตร ซึ่งตลาดกว่า 80% ถูกผูกขาดโดย Visa และ Mastercard ขณะที่ยักษ์ใหญ่บัตรเครดิตทั้ง 2 รายได้ออกมาโต้แย้งว่า การลดค่าธรรมเนียมรูดบัตรอาจไม่ส่งผลดี โดยให้เหตุผลว่า ค่าธรรมเนียมดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงสำหรับผู้ค้าโดยรับประกันการชำระเงินโดยไม่คำนึงถึงการฉ้อโกงหรือว่าลูกค้าจ่ายค่าบัตรเครดิตหรือไม่ ขณะเดียวกันก็เข้าไปช่วยสนับสนุนโปรแกรม Rewards และบริการต่างๆ ของธนาคาร ก่อนย้ำว่า การลดค่าธรรมเนียมรูดบัตรไม่เพียงแต่ไม่ช่วยลดราคาสินค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างโปรแกรม Rewards ที่ลดลง การเข้าถึงเครดิตที่น้อยลง และเสี่ยงต่อความปลอดภัยของข้อมูล

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising