3 ยักษ์อสังหาริมทรัพย์ ‘AP-แสนสิริ-ศุภาลัย’ เผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2567 ยังเติบโตแข็งแกร่ง สะท้อนความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าระดับกลาง-บน
AP (Thailand) รายงานรายได้รวม 34,780 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 3 มีรายได้ 13,650 ล้านบาท เติบโต 18% และกำไรสุทธิ 1,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อนหน้า
วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ เผยว่า การเติบโตมาจากทั้งกลุ่มสินค้าแนวราบ โดยเฉพาะบ้านแฝด ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี-เมนคลาส รวมถึงการโอนคอนโดมิเนียม Aspire เอราวัณ ไพร์ม มูลค่า 3,200 ล้านบาท และ Life พระราม 4-อโศก ที่โอนเฟสแรกแล้วกว่า 30% จากมูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท
ด้านแสนสิริ วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้รวม 9 เดือน 28,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7% และกำไรสุทธิ 4,009 ล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 1,307 ล้านบาท มาจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่ได้รับการตอบรับดีทั้งจากลูกค้าไทยและต่างชาติ
รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนในโครงการเดอะ ไลน์ ไวบ์ มูลค่า 4,400 ล้านบาท ที่มียอดขายแล้ว 75% ล่าสุดบริษัทมีกระแสเงินสดหมุนเวียนกว่า 15,000 ล้านบาท
ส่วนศุภาลัย ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ รายงานรายได้รวม 9 เดือน 22,792 ล้านบาท เติบโต 6% และกำไรสุทธิ 4,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% โดยเฉพาะไตรมาส 3 มีรายได้ 9,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% และกำไรสุทธิ 1,989 ล้านบาท โต 67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการแนวราบ 64% และคอนโดมิเนียม 36% รวมถึงการโอน 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 28,000 ล้านบาท
สำหรับแผนไตรมาส 4 AP (Thailand) เตรียมเปิด 11 โครงการใหม่ มูลค่า 17,590 ล้านบาท ส่งผลให้สิ้นปีจะมีโครงการพร้อมขายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากกว่า 192 โครงการ มูลค่ารวม 135,580 ล้านบาท
ขณะที่แสนสิริจะเปิด 11 โครงการ เน้นระดับไฮเอนด์อย่าง แบรนด์ใหม่ NARINSIRI 2 โครงการ, เศรษฐสิริ บางนา กม.10 และงามวงศ์วาน รวมถึง The Tales Story One – Bangjo ในภูเก็ต
สำหรับศุภาลัยเตรียมเปิด 10 โครงการ มูลค่า 13,730 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 6 โครงการ และคอนโด 4 โครงการ
อย่างไรก็ตาม มีการมองว่าตลาดอสังหามีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐและทิศทางดอกเบี้ยขาลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าระดับกลาง-บนที่ยังมี Real Demand รองรับ