เมื่อวันที่ 23 กรฎาคมที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวอิศรา กรณีจดหมาย AstraZeneca ที่ถูกมองว่าการจองล่าช้า มาทำในเดือนมกราคม 2564 จำนวน 26 ล้านโดส และอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2564 จำนวน 35 ล้านโดส ว่า เมื่อเทียบกับอาเซียนแล้วเราค่อนข้างช้ากว่าที่อื่น
อย่างแรก จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่ไม่ได้เป็นทางการ เป็นจดหมายของทางผู้บริหารของ AstraZeneca ได้ส่งมาขอบคุณประเทศไทยว่าได้สนับสนุนให้เขาตั้งโรงงานผลิต สายการผลิตในประเทศไทยได้ และเขาก็สามารถที่จะจัดส่งวัคซีนให้กับคนไทยได้ตามกำหนด
“ในเรื่องของตารางที่เห็นนี้ก็อยากจะแก้ไขนิดหนึ่งว่า อย่างที่เขาบอกว่าเดือนมกราคม 2564 หรือพฤษภาคม 2564 อันนี้เป็นวันที่เขาบันทึกลงไปในสารบบของเขา แต่จริงๆ แล้ว การคอนเฟิร์ม รัฐบาลไทยได้ลงนามไป ถ้าคุณประสงค์ (ผู้อำนวยการสำนักข่าวอิศรา) จำได้ ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนปีที่แล้ว มีการลงนามที่ทำเนียบรัฐบาล มีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แล้วด้านหลังมีประธานของ AstraZeneca จากอังกฤษร่วมลงนาม เพราะว่ามันเป็นออนไลน์ แต่ในงานเอกสารคือส่งกลับไป กว่าเขาจะส่งกลับมาใช้เวลาอีก 2 เดือนกว่า อันนี้ก็เป็นระบบของเขาไม่เกี่ยวกับเรา แต่ว่าสำหรับเราออร์เดอร์คอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้ว ส่วนเอกสารที่ 2 อีก 35 ล้านโดส ที่มาเดือนพฤษภาคม 2564 เอกสารเราส่งไปตั้งแต่เดือนมีนาคมเช่นเดียวกันครับ ใช้เวลาในกระบวนการของเขา 2 เดือน ถึงจะส่งเอกสารกลับมาที่เรา ตรงนี้คือถ้าถามว่า AstraZeneca เขาบันทึกแบบนี้ ถ้าผมเป็นคนทำตารางแบบนี้ กระทรวงสาธารณสุขทำตารางแบบนี้ เราก็บอกว่าเราสั่งตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 และเดือนมีนาคม 2564”
ส่วนที่บอกว่าทีมของรัฐมนตรีที่ไปเจรจาบอกว่าเราต้องการแค่ประมาณ 3 ล้านโดสต่อเดือนเท่านั้นในการฉีด อนุทินกล่าวว่า เนื้อหาในจดหมายที่อ้างว่าประเทศไทยฉีดได้เดือนละ 3 ล้านโดสเท่านั้นเอง เขาส่งมาให้ถึง 6 ล้านโดส อันนี้คือในทางการตลาดหรือเป็นการบลัฟกัน เพื่อให้บอกว่าเขาได้ทำมากกว่าที่เราต้องการ แต่ตนโทรไปถาม Country Manager ของเขา ว่าฉันไม่เคยได้ยินเลยนะว่าใครพูด 3 ล้านโดส เขาก็บอกว่าเขาโน้ตเอาไว้
“ผมก็เลยบอกว่าโน้ตไว้แบบนี้ไม่ได้ เพราะวันที่ 7 กันยายน 2563 ที่พบกันนั่นคือการพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับผู้บริหาร วันที่เจอกันวันที่ 7 กันยายน 2563 ไม่ใช่เป็นการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น คือแค่จับมือทำความรู้จักกัน และยังไม่รู้ว่าจะมีการทำสัญญาใดๆ หรือเปล่า ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเขียนมาตรงนี้ เพราะว่าสำหรับผม ถ้าในจดหมายที่ผมตอบไป ตรงนี้ไม่ใช่สาระของผม สาระของผมที่ตอบกลับเขาไปมีประโยคหนึ่งคือ เขาบอกว่าเขาคิดว่าจะจัดส่งให้ประเทศไทย 5-6 ล้านโดสต่อเดือน ผมตอบไปว่าประเทศไทยต้องการ 10 ล้านโดสต่อเดือน นั่นคือสาระที่ผมตอบจดหมายฉบับนี้ไป ฉะนั้น ตรง 3 ล้านโดส ผมไม่ได้อ่านเลย เพราะว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาหรือส่วนหนึ่งของการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความหมาย เขียนอะไรก็ได้” อนุทินกล่าว
ส่วนฐานคิดการฉีดวัคซีน 10 ล้านโดสมาอย่างไร และในความเป็นจริงทำได้จริงหรือไม่นั้น อนุทินกล่าวว่า แผนการฉีดมาจากกรมควบคุมโรค ก่อนมีโควิดกรมควบคุมโรคฉีดวัคซีนสูงสุดในแต่ละปีคือประมาณ 8 ล้านโดส 1 ปี ไม่ใช่ 1 เดือน ในโรคทั่วไป
“จริงๆ เขาบอกประมาณว่าเดือนละ 5-6 ล้านโดส แต่เราก็นับจำนวนประชากร นับความเร่งด่วนของสถานการณ์ ก็ให้ทางท่านอธิบดีกรมควบคุมโรคไประดมทุกอย่างให้มากที่สุด เขาก็บอกมาว่าฉีดได้ประมาณ 8 ล้านโดส เราก็บอกว่าไม่ได้ อย่างไรก็ต้อง 10 ล้านโดส ต้องทำแผนให้ได้และก็ต้องทำให้ได้”
.
ต่อข้อถามที่ว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้จะฉีดได้ 100 ล้านโดสตามเป้าหรือไม่นั้น อนุทินกล่าวว่า เราฉีดได้ประมาณเดือนละ 10 ล้านโดส จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีก็อีก 6 เดือน ประมาณ 60 ล้านโดส จำนวนวัคซีนที่เข้ามาในแต่ละเดือนก็ประมาณ 10-12 ล้านโดส เดือนมิถุนายน 2564 มีวัคซีนเข้ามาใกล้ๆ 10 ล้านโดส เดือนกรกฎาคม 2564 มีวัคซีนเข้ามาในระบบทั้งหมดประมาณ 10-12 ล้านโดส จากนี้ไปเราได้สั่ง Pfizer ไปอีก 20 ล้านโดส ซึ่งจะมาในไตรมาสที่ 4
“ส่วนทาง AstraZeneca หลังจากที่รับจดหมายจากผมไป อันนี้ก็ต้องเรียนก่อนว่าเขายังไม่ได้ตอบมาเป็นทางการ แต่เขาก็ตอบมาในไลน์ของผมและไลน์ของท่านอธิบดีกรมควบคุมโรคว่าเขาจะพยายามไปหาฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ เมื่อถ้าเขาหาฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ ได้ เขาก็จะสามารถเพิ่มการส่งให้กับประเทศไทยได้” อนุทินกล่าว
ส่วนกรณีที่มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายว่าทำไมไม่ใช้ พ.ร.บ. มั่นคงทางวัคซีนฯ สั่งห้ามส่งออก แต่อาจจะไม่ต้อง 100% อย่างน้อยตามเป้าที่เราต้องการ อนุทินกล่าวว่า คิดว่าเราจะต้องลงไปในรายละเอียดมากพอสมควร แล้วเราต้องดูสถานการณ์ ดูว่าเขามีความบกพร่องหรือตั้งใจที่จะไม่ส่ง เขากลั่นแกล้งอะไรเราหรือไม่ ที่ผ่านมา 2 เดือนเขายังทำตามข้อตกลง ภายใต้ขอบเขตของสัญญาจัดซื้อจัดหาทุกประการ มาตรการมันง่ายครับ เป็นหนังสือฉบับเดียวก็มีผล แต่ถามว่าโรงงานที่เขามาผลิตวัคซีน AstraZeneca ในประเทศไทยเป็นโรงงานของเรา เป็นของคนไทย เป็นโรงงานที่รับจ้างเขาผลิต เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูครับ บริษัทผลิตวัคซีน AstraZeneca เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ถ้าเราไปทำอะไรเขา เขาอาจจะต้องรักษา Integrity ของเขา ไปบีบเขามากไม่ได้ เพราะถ้าไปบีบปุ๊บ เดี๋ยวประเทศอื่นเขาบีบด้วย เขาอาจจะบอกขอยกเลิกสัญญา เราจะทำอย่างไร
“ทุกอย่างมันมีเหตุมีผล และยังไม่นับรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ทุกประเทศในภูมิภาคนี้มีความต้องการวัคซีนโควิด มีการระบาดของเชื้อเป็นอย่างมากเหมือนกัน ถ้าเราไปบล็อกตรงนั้น เขาก็จะมากดดันประเทศไทยทันทีในหลายๆ เรื่อง ทุกวันนี้กรมควบคุมโรคบอกแล้วว่าฉีดได้เดือนละ 10 ล้านโดส เราก็หาได้ใกล้เคียงทุกครั้ง วัคซีนเข้ามาเดือนละ 10 ล้านโดส มันก็แมตช์กันพอดี เอามามากก็ฉีดไม่ไหว แล้วก็เอามาดองเก็บไว้ก็ไม่ได้” อนุทินกล่าวในที่สุด