บทที่แปด
ข้าพเจ้าออกจากตำหนักของกรมพระฯ ในอีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา ท้องฟ้าของบันดุงในยามบ่ายใสกระจ่าง มาเม็ตยืนรอข้าพเจ้าอยู่ที่รถของเขาแล้ว แต่ข้าพเจ้ากลับไม่ปรารถนาที่จะขึ้นไปบนยวดยานนั้น มีบางสิ่งที่รบกวนจิตใจและมโนสำนึกของข้าพเจ้าอย่างรุนแรง ถ้อยคำของกรมพระฯ ที่พูดถึงหญิงสาวผู้มีใบหูยาวกว่าหญิงสาวทั่วไปทำให้ข้าพเจ้าประหวัดถึงบุหรง อาจเป็นเธอ หรือไม่อาจเป็นเธอ โลกนี้อาจมีหญิงสาวที่มีใบหูยาวมากมาย กระนั้นหญิงสาวที่มาถึงและจากไปในสถานที่ต่างๆแบบไร้ร่องรอยนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่ามีบุหรงเพียงผู้เดียวเท่านั้น กระนั้นทุกอย่างล้วนเป็นเพียงลางสังหรณ์ และแม้ว่าลางสังหรณ์ของข้าพเจ้าจะเคยทำการอย่างได้ผลมาหลายครั้งครา แต่สำหรับเรื่องที่ว่านี้ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์ และข้อพิสูจน์ที่ว่านั้นข้าพเจ้าเชื่อว่ามันจะเดินทางมาถึงเมื่อสมควรแก่กาลเวลา
การขบคิดถึงเรื่องราวที่ว่าทำให้ข้าพเจ้าฉุกคิดถึงปูมเอกสารที่ข้าพเจ้าได้รับจากบุหรง คำเตือนของเธอที่บอกกล่าวว่าปูมเอกสารชุดนั้นจะช่วยปกป้องข้าพเจ้าเสียจากภยันตรายราวกับเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักว่านอกเหนือจากการศึกษาภาษาสยามเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการตรวจตรางานเขียนของกรมพระฯ แล้ว ข้าพเจ้าควรศึกษาภาษามธุเรศของชาวมธุราไปพร้อมกันด้วย ข้าพเจ้าแจ้งแก่มาเม็ตว่าหลังการเดินทางด้วยรถยนต์ติดต่อกันหลายวัน ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะออกกำลังขาของตนเองแทนเสียบ้าง และหากเขาประสงค์จะรับใช้ข้าพเจ้าในวันนี้ก็ขอให้กระทำด้วยการออกเสาะหาบ้านเช่าขนาดย่อมที่มีความสงบเงียบให้แก่ข้าพเจ้าสักหนึ่งหลัง ข้าพเจ้าให้เหตุผลว่าข้าพเจ้าต้องการสมาธิในการทำงานด้านอักษรศาสตร์เป็นอย่างมาก ทั้งที่เหตุผลอันแท้จริงคือการที่ข้าพเจ้าไม่อาจพำนักอยู่ในสถานที่เดียวกับพวกทหารญี่ปุ่นต่อไปได้ โดยเฉพาะทหารญี่ปุ่นที่มีนามว่า โทรุ ซากาโมโตะ
เมื่อยังไม่มีเป้าหมายแน่ชัด ข้าพเจ้าตัดสินใจเลือกถนนสายยาวของบันดุงอันได้แก่ถนนซิปากันติเป็นที่หย่อนอารมณ์ ข้าพเจ้าออกเดินตามถนนสายนั้นไปทางทิศใต้ของเมือง ข้าพเจ้าเดินผ่านต้นก้ามปูขนาดใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า ข้าพเจ้าเดินผ่านร้านอาหารข้างทางร้านแล้วร้านเล่า มีรถจักรยานหลายคันที่ขี่อยู่บนทางเท้าแล่นผ่านข้าพเจ้าไป พวกเขาบรรทุกตะกร้าไก่ และสิ่งต่างๆ มีหญิงชาวชวาหลายคนคานตะกร้าเดินผ่านข้าพเจ้าไป พวกเขาบรรทุกอาหารและเสื้อผ้า ข้าพเจ้าช่างเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเพียงผู้เดียวบนทางเท้าศิลาแลงสีแดง แต่ความเชื่องช้าที่ว่านั้นไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกวิตกกังวลเลย ข้าพเจ้ายังคงเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายและปล่อยให้ภาพของเมืองบันดุงเริ่มต้นครอบงำความคิดของข้าพเจ้า
ในที่สุดข้าพเจ้าก็แลเห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้า เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าไปในระยะใกล้จึงพบว่าทางแยกด้านซ้ายของทางเดินศิลาแลงนั้นมีบาซาร์หรือตลาดขนาดย่อมตั้งอยู่ ข้าพเจ้าสืบเท้าเดินเข้าไปในตลาด มีการต่อรองซื้อขายแทบทุกจุดในตลาดแห่งนั้น เสียงตะโกนเชื้อเชิญผู้ซื้อจากผู้ขายดังก้องไปทั่ว ทั้งยาสูบ เนื้อวัว ปลา เต้าหู้ทอดหรือเทมเป ไก่กระทง ผักสีเขียว หรือแม้แต่ยอดชา ข้าพเจ้าซื้อเทมเปที่จัดเรียงไว้ในกระทงใบกล้วย รสชาติของมันคล้ายดังมันฝรั่งทอดที่โรยด้วยเกลือหากแต่มีความกรอบมากกว่า หลังจากจัดการกับเทมเปทั้งสองช้ิน ข้าพเจ้าเอ่ยถามชายผู้ขายที่โสร่งของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันว่า “บูคู-ที่แปลว่าหนังสือนั้นเราจักหามันได้จากที่ใด” ชายผู้ขายยืนมอง
ใบหน้าข้าพเจ้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “คิริ เบล็อก-คิริ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวซ้ายแล้วเดินหน้าไป คุณจะพบมันที่นั่น”
ในตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าการได้รับคำตอบดังกล่าวเป็นเรื่องสิ้นหวัง การแนะนำให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินหน้าไปอาจหมายถึงการเดินอย่างไม่มีจุดหมายก็เป็นได้ แต่เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยวซ้ายและมุ่งหน้าไปตามคำแนะนำของชายผู้นั้น ข้าพเจ้าได้เห็นร้านหนังสือแห่งนั้นจากระยะไกล มันเป็นร้านหนังสือที่โดดเด่นอย่างยิ่ง มันเป็นร้านหนังสือที่สะดุดตาอย่างยิ่ง และมันเป็นร้านหนังสือที่เจียมตนอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
ร้านหนังสือแห่งนั้นตั้งอยู่บนพื้นดินที่เป็นดินเหนียว ผู้เป็นเจ้าของร้านนั่งอยู่บนพื้นดินที่เป็นดินเหนียว ลักษณะของร้านเป็นเพียงตั่งขนาดเล็กที่วางอยู่บนพื้นดิน มีหนังสือสามเล่มวางอยู่บนตั่ง ชายผู้เป็นเจ้าของร้านโพกผ้าสีขาวไว้รอบศีรษะ ใส่เสื้อผ่าอกสีเทาและนุ่งโสร่งสีดำ ขาว เทาและดำ เขาแต่งตัวราวกับเพิ่งกลับจากงานศพของใครบางคน มีสีสันอันสดใสเพียงจุดเดียวในตัวของเขาคือปากกาแบบจุ่มหมึกที่ด้ามของมันเป็นสีชมพูที่ทัดไว้ข้างหูข้างซ้าย ในมือขวาของเขามีมวนบุหรี่ที่เขายกมันขึ้นสูบเป็นระยะและพ่นควันของมันจนลอยสูงไปเบื้องบน สายตาของเขาเหม่อลอยจนแม้ว่าข้าพเจ้าได้ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของเขา เขาก็หาแยแสไม่ ข้าพเจ้าเอื้อมมือผ่านควันบุหรี่เพื่อคว้าหนังสือทุกเล่มที่ถูกจัดวางบนตั่งเข้าไว้ในมือแล้วถามหาราคาของมัน
“มันขึ้นอยู่กับ” ชายผู้นั้นเอ่ยกับข้าพเจ้าเป็นภาษาดัตช์ สายตาของเขาหันมาสนใจข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกและเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบว่าปากกาด้ามสีชมพูที่เขาทัดไว้ข้างหูซ้ายนั้นมีความยาวกว่าปากกาจุ่มหมึกทั่วไปเกือบหนึ่งเท่า
“ขึ้นอยู่กับว่า?” ข้าพเจ้าถามเขาด้วยความฉงน
“ขึ้นอยู่กับว่าหากคุณซื้อมันไปเพื่ออ่าน มันก็จะมีราคาหนึ่งแต่หากคุณซื้อมันไปโยนทิ้งไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องเยี่ยงพวกชนชาวตะวันตกที่มากปัญญาทั้งหลายชอบกระทำ มันก็จะมีอีกราคาหนึ่ง”
“อ่าน” ข้าพเจ้าตอบเขาสั้นๆ “และคาดว่าจะอ่านมันมากกว่าหนึ่งเที่ยวด้วยซ้ำไป”
มีรอยยิ้มจากชายผู้นั้น เส้นผมของเขาที่โผล่พ้นผ้าที่โพกศีรษะนั้นดำขลับราวกับสีขนของอีกา “หนึ่งกิลเดอร์ครึ่ง ลดไม่ได้แม้แต่เซ็นต์เดียว” ข้าพเจ้าหยิบเหรียญให้ตามจำนวนดังว่าด้วยความรู้สึกเต็มใจ พจนานุกรม ภาษาชวา-ดัตช์ ตำราทำอาหารพื้นบ้านจากอาเจห์ และนิทานปรัมปราว่าด้วยการผจญภัยของจอมโจร ศรี พินทุ ในศตวรรษที่สิบเเปด หนังสือที่ไม่ได้หายากปานใดนัก แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าเชื่อว่ามันจะฆ่าเวลาข้าพเจ้าได้ดีกว่าการนั่งจมจ่อมกับข่าวของสงครามเป็นแน่
“คุณมีตำราเรียนภาษามธุเรศบ้างไหม?” ข้าพเจ้าถามเขา
คำถามข้อนั้นดูเหมือนจะทำให้เขาประหลาดใจ เขาหรี่สายตาลงมองข้าพเจ้าอย่างคมกริบราวกับใบมีดจากกริช “ตำราเรียนภาษามธุเรศ คุณมาจากชวาตะวันออกหรือ?”
“ไม่ เพียงแต่ผมมีปัญหากับคำบางคำและผมอยากไขข้อข้องใจกับมันเสียที”
ชายผู้นั้นถอนหายใจยาวราวกับได้ปลดเปลื้องสิ่งที่เป็นอุปสรรคในลำคอ “ผมมีตำราภาษามธุเรศของชาวมธุราอยู่หนึ่งเล่ม แต่มันเก่ากรอบเกินจะนำออกมาวางขายโดยทั่วไปได้ หากคุณสนใจ ราคาของมันอาจสูงสักหน่อย แต่ผมเชื่อว่ามันจะให้ความกระจ่างคุณได้และคุณต้องตามไปรับมันด้วยมือตนเองจากชั้นหนังสือที่ที่พักของผม”
แทนคำตอบ ชายผู้นั้นคว้าตั่งไว้ในมือ ลุกขึ้นแล้วออกเดินไปตามตรอกเล็กๆ ที่เป็นทางออกอีกด้านของบาซาร์ ข้าพเจ้าเดินตามเขาไปอย่างช้าๆ ผ่านทางเดินแคบๆระหว่างอาคารแล้วอาคารเล่า แสงแดดในยามบ่ายมัวซัวลงอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นเดินอย่างไม่ยอมหยุดราวกับว่าการหลบหนีจากปีศาจที่มองไม่เห็น และราวยี่สิบนาทีเขาก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าอาคารซึ่งก่อจากอิฐดินเผาที่ทาสีชมพูทั้งอาคาร เขาเปิดประตูไม้ที่เก่าคร่ำคร่า ตรงเข้าไปในห้องขนาดเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ได้เพียงลำพัง จุดเทียนแท่งใหญ่กลางโต๊ะตัวเดียวในนั้นจนทุกอย่างในห้องที่มืดทึมสว่างไสว และก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันระวังตัว ก็มีของหนักขนาดใหญ่กระทบเข้าที่ท้ายทอยของข้าพเจ้าและหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็สิ้นสติลง
ในสภาวะสติอันเลือนลางนั้น ข้าพเจ้าเห็นภาพตนเองนั่งอยู่เบื้องหน้าการละเล่น วายัง กูลิต อันเป็นการละเล่นเชิดหุ่นที่แกะจากหนังสัตว์ มีภาพของตัวละครจำนวนมากปรากฏบนผืนผ้าสีขาวขนาดใหญ่ด้วยแสงจากกะลามะพร้าว เสียงดนตรีจากการละเล่นแบบเกมาลันดังก้องไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงฆ้อง ฉิ่ง และกลอง ข้าพเจ้าสับสนกับตัวละครเหล่านั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะจดจำได้ว่าหนึ่งในตัวละครเหล่านั้นคืออรชุนจากวรรณคดีมหาภารตะ ในฉากที่ว่าอรชุนกำลังเจรจาความกับกฤษณะด้วยภาษาชวา ท่ามกลางบทสนทนานั้นมีเสียงท่องมนตราดังแทรกมาจากที่ใดสักแห่ง และแล้วร่างของอรชุนก็ขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มห้อง สายตาของอรชุนหันเหจากกฤษณะมามองข้าพเจ้าอย่างเกลียดชังจนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัวขึ้น ร่างกายของข้าพเจ้าชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ข้าพเจ้าเอามือสัมผัสท้ายทอยของตนเอง มีเลือดติดปลายมือข้าพเจ้าแต่ดูไม่หนักหนาปานใด ข้าพเจ้าค่อยๆ เบิกดวงตาให้กว้างขึ้น แต่ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นเบื้องหน้ากลับไม่ใช้ภาพของผืนผ้าสีขาวหรือการละเล่นวายัง กูลิต แต่อย่างใด หากแต่เป็นภาพของชายผู้เป็นเจ้าของร้านหนังสือ บัดนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้กลางห้องพร้อมทั้งสยายผมสีดำขลับดังขนของอีกาของเขาลงเคลียบ่า ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่ามีแต่ท่อนล่างเท่านั้นที่ห่มคลุมด้วยโสร่งลวดลายโบราณ เป็นโสร่งลวดลายโบราณแบบเดียวกับที่ข้าพเจ้าพบเห็นบนร่างของบุหรง เขายิ้มให้กับข้าพเจ้า ผู้ที่กำลังพยุงร่างกายขึ้นมาอย่างลำบากก่อนจะเอ่ยกับข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“ยินดีต้อนรับ มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ข้าพเจ้า ศรี อรพินโท ยินดีต้อนรับคุณสู่อาณาจักรของเรา อาณาจักรแห่ง วายัง อมฤต”
——————
ติดตามอ่าน วายัง อมฤต ตอนก่อนหน้าได้ที่
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 1-2)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 3-4)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 5)
- วายัง อมฤต นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ (บทที่ 6-7)
ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2560
- ภาษามธุเรศเป็นภาษาของชนพื้นถิ่นในเกาะมธุรา ทางชวาตะวันออก ปัจจุบันมีผู้ใช้ภาษานี้ลดน้อยลงมากแล้ว
- วายัง กูลิต หรือการละเล่นหนังใหญ่แบบอินโดนีเซีย เข้ามาด้วยอิทธิพลของชาวฮินดู เรื่องราวที่เล่นมักมาจากวรรณกรรมสำคัญสองเรื่องของฮินดูคือ มหาภารตะและรามายณะ