วันนี้ (21 กันยายน) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลของชาวจีนสำหรับระลึกถึงเทพธิดาแห่งพระจันทร์ โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเทศกาลนี้คือ ‘ขนมไหว้พระจันทร์’ ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ แต่ขนมไหว้พระจันทร์มักมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก อีกทั้งยังมีน้ำมัน น้ำเชื่อม และเมื่อมาผสมกับไส้ต่างๆ ที่มีรสชาติหวาน จึงทำให้เป็นขนมที่ให้พลังงานสูงมาก โดยปกติขนมไหว้พระจันทร์ขนาด 1 ชิ้น มีน้ำหนัก 166 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 614-772 กิโลแคลอรี ซึ่งสูงกว่าอาหารมื้อหลัก เช่น ข้าวผัดหมู ผัดไทยกุ้งสด ข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาว หรือเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว 1 จาน แม้จะตัดแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้ 6 ชิ้นเล็กๆ ก็ยังให้พลังงานถึง 96-120 กิโลแคลอรี
จากข้อมูลแสดงคุณค่าทางโภชนาการของขนมไหว้พระจันทร์ไส้ต่างๆ ในปริมาณ 100 กรัม พบว่าแต่ละไส้ให้พลังงานแตกต่างกัน หากเป็นไส้พุทราให้พลังงาน 338 กิโลแคลอรี ไส้ทุเรียนให้พลังงาน 345 กิโลแคลอรี ไส้ทุเรียนและไข่ให้พลังงาน 375 กิโลแคลอรี ไส้เม็ดบัวให้พลังงาน 384 กิโลแคลอรี และไส้เม็ดบัวและไข่ให้พลังงาน 404 กิโลแคลอรี ตามลำดับ
“ทั้งนี้ สำหรับในช่วงเทศกาลดังกล่าว ประชาชนมักนิยมเลือกซื้อขนมไหว้พระจันทร์เป็นของฝากผู้ใหญ่ หรือซื้อมากินกันภายในบ้าน จึงแนะนำให้กินขนมไหว้พระจันทร์อย่างเหมาะสม ไม่ควรกินทีเดียวหมดทั้งชิ้นในวันเดียว และควรเลี่ยงกินขนมหวาน ของหวานประเภทอื่น หรือเครื่องดื่มรสหวานต่างๆ หลังจากกินขนมไหว้พระจันทร์ เนื่องจากอาจจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่มากเกินความต้องการ ซึ่งแป้งและน้ำตาลจากขนมจะเปลี่ยนไปเป็นไขมันส่วนเกินสะสมตามร่างกาย หากขาดการออกกำลังกาย มีผลทำให้น้ำหนักเพิ่ม อ้วนลงพุง และทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา และสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือ ก่อนกินขนมไหว้พระจันทร์ทุกครั้ง ต้องดูวันผลิตหรือวันหมดอายุ รวมทั้งสังเกตกลิ่นและสีของขนมว่าผิดปกติหรือไม่ หากพบว่ามีกลิ่นและสีที่เปลี่ยนไป ควรงดบริโภคทันทีเพื่อความปลอดภัย” นพ.สุวรรณชัยกล่าว